กำนันชัยวัฒน์ฟ้องกลับ ยุทธตู้เย็น กล่าวหาแจ้งความเท็จ

กำนันชัยวัฒน์ฟ้องกลับ ยุทธตู้เย็น กล่าวหาแจ้งความเท็จ

กำนันชัยวัฒน์ฟ้องกลับ ยุทธตู้เย็น กล่าวหาแจ้งความเท็จ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ชัยวัฒน์ ฟ้องกราวรูด ยงยุทธ ว่าแจ้งความเท็จคดียุบพปช. ศาลนัดไกล่เกลี่ย16มี.ค.-นัดไต่สวนมูลฟ้อง19เม.ย. เลขากกต.เผย2589ล้านอาจเปลี่ยนได้

วันนี้(25 ธ.ค.) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถนนเจริญกรุง 63 เมื่อเวลา 14.00 น. นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนันตำบลจันจว้า อ.แม่จัน เชียงราย พร้อมนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ เดินทางไปยื่นฟ้อง นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ซึ่งถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี ที่คณะกรรมการเลือกตั้ง( กกต.) ให้ใบแดง และอดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมถึง กำนันตำบลศรีค้ำ, ต.แม่คำ ต.แม่จัน, ต.ป่าตึ้ง ต.แม่ไร่, ต.จันจว้าใต้, ต.สันทราย และ ต.ป่าซาง อีกทั้ง นายบรรจง ยางยืน อดีตนายกเทศมนตรีตำบลจันจว้า อ.แม่จัน นายเอกวิทย์ ออกเวหา ผู้จัดการโรงแรมเอสซี ปาร์ค นายบุญชอบ สุทธิมนัสวงษ์ เจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษ ซึ่งนำรถตู้ในราชการมาใช้รับ-ส่งกลุ่มกำนัน และ ด.ต.เทพรัตน์ เขื่อนคุณา คนสนิทนายยงยุทธ ติยะไพรัช

เป็นจำเลยที่ 1 - 14 ในความผิดฐานร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ต่อเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 , 172, 173 และ 174 สืบเนื่องจากระหว่างวันที่ 8 ม.ค.51 - 14 พ.ค.51 จำเลยที่ 1 กับพวก นำข้อความอันเป็นเท็จ ไปแจ้งกับ เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวน คณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต.) ทำให้เข้าใจว่าโจทก์ วางแผน จัดฉาก สร้างสถานการณ์ โดยร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร และพรรคการเมืองบางพรรค กลั่นแกล้งให้จำเลยที่ 1 ในฐานะที่เป็น กรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน และเป็นรองหัวหน้าพรรค ฯ กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยปราศจากมูลความจริง

โดยศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ วันที่ 19 เม.ย.2553 เวลา 09.00 น. ขณะที่ศาลนัดไกล่เกลี่ยคู่ความก่อนในวันที่ 16 มี.ค.53 เวลา 13.30 น.

ปธ.กกต.สั่งดูข้อกฎหมายเพิ่ม-ชี้คดี 258ล้านอาจแก้มติได้

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการสำนักงาน กกต. กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาคดีเงินบริจาคพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้านบาท ว่า ขณะนี้ทราบว่านายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมา 1 ชุดโดยมีผู้แทนจากด้านกิจการพรรคการเมือง และจากสำนักกฎหมายและคดี เพื่อมาดูในเรื่องข้อกฎหมาย พ.ร.บ.พรรคการเมือง

เพราะขณะที่ร้องนั้นเป็นการร้องในความผิดของกฎหมาย พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2541 แต่ปัจจุบันเป็นการใช้กฎหมายใหม่ปี 2550 ดังนั้นจึงต้องดูอย่างรอบครอบ และเรื่องนี้คณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนก็ไม่ได้พิจารณามาให้ ทั้งนี้การตั้งคณะทำงานขึ้นมาไม่ได้เป็นการยื้อเวลาอย่างที่บางฝ่ายกล่าวหา

นายสุทธิพล กล่าวว่า การดำเนินการในขณะนี้ เป็นการดำเนินการตามมติเสียงข้างมาก ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมาดำเนินการตาม มาตรา 95 พ.ร.บ.พรรคการเมือง ซึ่งก็ต้องดูอีกครั้งหากมีข้อเท็จจริงใหม่ หรือนายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นว่า มีหลักฐานใหม่แล้วมีความชัดเจนการลงมติก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งในอดีตเคยมี แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดขึ้นบ่อย เช่นเดียวกับหลายหน่วยงาน แต่ต้องดูตามเหตุผลที่สามารถอธิบายได้ ซึ่งเชื่อว่า หากมีการเปลี่ยนแปลงมติจริงๆ นายทะเบียนก็จะต้องมีเหตุผลอธิบายต่อสังคมได้ ทั้งนี้ ยอมรับการทำงานของนายทะเบียนพรรคฯ และ กกต. อยู่ภายใต้การกดดันของกระสังคม ซึ่งจะทำตามกระแสไม่ได้

"การทำงานของ กกต.ที่ผ่านมา สำหรับเรื่องนี้ใช้เวลากว่า 7เดือน ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผิดปกติ เพราะทุกอย่างมีขั้นตอน ส่วนที่ทุกคนเห็นว่าช้า ก็เนื่องจากเรื่องกรณีดังกล่าวมีความซับซ้อน ทั้งประเด็นข้อกฎหมาย เกี่ยวกับพ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ ที่ดีเอสไอสอบสวนมา และในส่วนของพ.ร.บ.พรรคการเมืองที่ต้องดำเนินการ จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่นายทะเบียนพรรค จึงต้องตั้งคณะทำงานขึ้นมาอีก 1 ชุดเพื่อความรอบคอบ เนื่องจากฐานความผิดแตกต่างกัน" นายสุทธิพล กล่าว

เมื่อถามว่า กกต.ทำงานล่าช้าเพราะต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นเรื่องการยุบพรรค เพื่อช่วยเหลือพรรคประชาธิปัตย์ อย่างที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง สมาชิกพรรคไทยรักไทยคาดการณ์หรือไม่ นายสุทธิพล กล่าวว่า เป็นไปไมได้ เพราะขณะนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ และถ้าหากแก้ไขจริงก็ต้องใช้เวลาซึ่งการพิจารณาคดีดังกล่าวคงไม่ใช่เวลานานขนาดนั้น ขอย้ำว่า กกต.เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ทำงานด้วยความสุจริต เที่ยงธรรม

เมื่อถามว่าผลการลงมติของ กกต.ที่พิจารณาในเนื้อหาไปแล้ว 2 คน มีผลผูกพันหรือไม่ หากต้องมีการพิจารณาอีกครั้งหลังจากนายทะเบียนพรรคฯ เสนอความเห็นหรือไม่ เลขาธิการ กกต.กล่าวว่า เป็นดุลยพินิจของกกต.แต่ละคน เหมือนกับที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาที่มีคำพิพากษาไปแล้ว แต่หากต่อไปมีข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ศาลก็เคยมีการประชุมใหญ่เพื่อลงมติที่อาจจะมีความแตกต่างกันกับตอนแรกได้ ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook