อัล-ไกดา พยายามบึ้มบินมะกันรับคริสต์มาส

อัล-ไกดา พยายามบึ้มบินมะกันรับคริสต์มาส

อัล-ไกดา พยายามบึ้มบินมะกันรับคริสต์มาส
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ชายไนจีเรียอ้างตัวเป็นสมุนอัล-ไกดาพยายามบึ้มเครื่องบินนอร์ท เวสต์ในวันคริสต์มาสพอดี โชคดีที่ระเบิดไม่ทำงาน ผู้โดยสารฮือเข้าขัดขวาง

เกิดเหตุระทึกขวัญบนเครื่องบินของสายการบินนอร์ทเวสต์ เที่ยวบินที่ 253 ซึ่งกำลังจะลงจอดที่สนามบินดีทรอยต์ในสหรัฐ พร้อมผู้โดยสาร 278 คน และลูกเรือ 11 คน เมื่อเที่ยงวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น เมื่อชายชาวไนจีเรียชื่อ นายอูมาร์ ฟารูก อับดุล มูทัลลับ ซึ่งประกาศตัวว่าเป็นสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายอัล-ไกดา พยายามจะระเบิดเครื่องบินในวันคริสต์มาส แต่โชคดีที่ระเบิดไม่ทำงาน เพราะถูกผู้โดยสารเข้าขัดขวาง

ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า นายมูทัลลับจุดระเบิดเสียงดังปังในเวลาประมาณ 20 นาที ก่อนที่เครื่องบินจะลงจอด ทำให้เกิดประกายไฟ และควัน จนสร้างความตื่นตระหนกให้แก่ผู้โดยสารที่พากันกรีดร้องระงม ระหว่างนั้นผู้โดยสารชายคนหนึ่งได้ปีนข้ามเก้าอี้ตัวเองกระโจนเข้าไปขัดขวางมือระเบิด ขณะที่อีกหลายคนพยายามวิ่งวุ่นหาน้ำ ผ้าห่ม และเครื่องดับเพลิงมาดับไฟ หลังจากต่อสู้กันไม่นานมือระเบิดก็ถูกพาตัวไปด้านหน้าของเครื่องบินในสภาพกางเกงขาด ขาทั้งสองข้างมีรอยไหม้ ซึ่งตำรวจคาดว่าเกิดจากระเบิดที่ผูกติดไว้กับขา

เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐกล่าวว่า ระเบิดที่หนุ่มไนจีเรียวัย 23 ปีคนนี้ใช้ เป็นส่วนผสมของผงแป้ง และของเหลว ขณะที่นายปีเตอร์ สมิท นักท่องเที่ยวจากเนเธอร์แลนด์ กล่าวว่า เสียงระเบิดดังคล้ายเสียงประทัด ส่วนผู้โดยสารที่โดดเข้าไปขวางมือระเบิดนั้นยังหนุ่มอยู่ และน่าจะมีบาดแผลไฟไหม้ด้วยเช่นกัน ด้านเมลินดา เดนนิส ผู้โดยสารที่นั่งอยู่แถวหน้า เล่าว่า มือระเบิดถูกพาตัวมานั่งใกล้ๆ เธอ ทำให้เห็นว่าขาทั้งสองข้างของเขามีแผลไหม้รุนแรง กางเกงขาด และมือระเบิดถูกพาตัวลงจากเครื่องบินในสภาพถูกใส่กุญแจมือติดกับเปลหาม

เที่ยวบินระทึกลำนี้ เป็นเครื่องบินแอร์บัส 330 บินออกจากไนจีเรีย ผ่านกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ก่อนจะมาลงจอดที่เมืองดีทรอยต์ ขณะนี้ทางสนามบินสกิโฟลในอัมสเตอร์ดัม ซึ่งเป็นอีกจุดที่มีผู้โดยสารขึ้นเครื่อง ยังไม่ยอมให้ความเห็นเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยของทางสนามบิน และก็ยังไม่มีรายงานว่ามือระเบิดขึ้นมาจากไนจีเรีย หรือจากเนเธอร์แลนด์

ด้านประธานาธิบดีบารัก โอบามา ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางไปพักผ่อนช่วงวันหยุดเทศกาลคริสต์มาสกับครอบครัวที่เกาะฮาวาย ได้ประชุมทางโทรศัพท์กับเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง พร้อมสั่งให้ดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มการรักษาความปลอดภัยทางอากาศ โดยโอบามาสั่งให้เจ้าหน้าที่คอยรายงานความคืบหน้าตลอดเวลา แต่จะยังไม่เปลี่ยนกำหนดการพักผ่อน

ขณะที่ทางทำเนียบขาวเชื่อว่าเป็นความพยายามก่อการร้าย พร้อมประกาศว่าจะเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยของการโดยสารเครื่องบินให้เข้มงวดขึ้นโดยเร็ว แต่ยังไม่ได้บอกว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างไร

เหตุการณ์ทำนองนี้เคยเกิดขึ้นในปี 2544 เมื่อนายริชาร์ด รีด สมาชิกอัล-ไกดาที่ได้ฉายาว่า "มือระเบิดรองเท้า" พยายามจุดระเบิดที่ซ่อนไว้ในรองเท้าบนเครื่องวบินของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ส ระหว่างบินข้ามแอตแลนติก แต่ถูกลูกเรือขัดขวางไว้ได้ เหตุการณ์นี้เป็นที่มาของการต้องถอดรองเท้าออกก่อนขึ้นเครื่อง

ขณะนี้เจ้าหน้าที่จากหน่วยสืบสวนสอบสวนกลางของสหรัฐ (เอฟบีไอ) กำลังสอบปากคำนายมูทัลลับ ซึ่งนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองแอน อาร์เบอร์ รัฐมิชิแกน ด้านสื่อสหรัฐรายงานว่า หลังจากถูกพาตัวไปสอบสวน นายมูทัลลับเปิดเผยว่าใช้เข็มฉีดยาที่บรรจุสารเคมีเอาไว้ไปผสมกับผงแป้งที่ใช้เทปพันติดไว้กับขา ทั้งยังบอกด้วยว่า ได้อุปกรณ์ในการทำระเบิด และคู่มือการใช้มาจากเยเมน

ด้านนายปีเตอร์ โฮกสตรา นักการเมืองระดับสูงจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นสมาชิกคณะกรรมการข่าวกรองของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐด้วย กล่าวว่า นายมูทัลลับคนนี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับอิหม่านอันวาร์ อัลอูลาคี ชาวเยเมนเกิดในสหรัฐ ที่เชื่อกันว่าทำหน้าที่เกณฑ์คนมาเข้าเป็นสมาชิกใหม่ของอัล-ไกดา

อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุพยายามลอบวางระเบิดดังกล่าว ประเด็นเรื่องศักยภาพในการดูแลความปลอดภัยทั้งที่สนามบิน และบนเครื่องบิน ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นที่ถกเถียงกันอีกครั้ง โดยนายดักกลาส แลร์ต อดีตผู้อำนวยการด้านความปลอดภัยของสายการบินนอร์ทเวสต์ ซึ่งเป็นสายการบินที่เกือบจะตกเป็นเหยื่อการก่อการร้ายครั้งล่าสุดบอกว่า เขาไม่ประหลาดใจที่คนร้ายสามารถลักลอบนำสิ่งที่เรียกว่า "วัตถุระเบิดชั้นดี" ขึ้นมาบนเครื่องได้ เพราะเมื่อคนร้ายลงทุนกับระเบิดไปมาก ก็ย่อมจะต้องได้รับสิ่งตอบแทนบ้าง

นายแลร์ต บอกด้วยว่า ที่เขาประหลาดใจก็คือคนร้ายเลือกที่จะขึ้นเครื่องบินที่กรุงอัมสเตอร์ดัม แม้ว่าระบบการรักษาความปลอดภัยของสนามบินที่นี่ได้มาตรฐานสากล แต่สิ่งที่เป็นห่วงก็คือ เรื่องที่สนามบินทั่วโลกควรเปลี่ยนจากระบบตรวจสอบโลหะในตัวผู้โดยสาร มาเป็นระบบสแกนทั่วร่างกายแทน แต่การเปลี่ยนมาใช้ระบบดังกล่าว ก็จะนำมาสู่ปัญหาทางด้านการเงิน เพราะขณะที่เครื่องตรวจโลหะมีราคาไม่ถึง 5 หมื่นดอลล่าร์ ระบบสแกนทั่วร่างกายมีราคากว่า 1 ล้านดอลล่าร์ หรือ 35 ล้านบาท

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ บอกว่า สนามบินที่สามารถต่อต้านการก่อการร้ายแบบ 100 เปอร์เซ็นต์เต็มนั้น ไม่มีอยู่ในโลก โดยจากการทดสอบหลายๆ ครั้งพบว่า เราสามารถลักลอบนำระเบิด หรืออาวุธเข้ามาได้แม้ในสนามบินชั้นดี แต่การพยายามหาวิธีป้องกัน ก็ยังคงดำเนินต่อไป อย่างเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน นักวิทยาศาสตร์เยอรมันก็ได้พัฒนาวิธีตรวจระเบิดของเหลวในเวลารวดเร็ว รวมถึงการส่งเจ้าหน้าที่ติดอาวุธให้เดินทางไปกับเครื่องบินโดยสาร และการออกมาตรการที่เข้มงวดเรื่องการนำของเหลวขึ้นเครื่อง การเสริมความแข็งแกร่งของประตูห้องนักบิน การตรวจรองเท้าผู้โดยสาร เพราะเกรงว่าจะซุกซ่อนระเบิดในรองเท้า

สนามบินนานาชาติลองแองเจลิส หนึ่งในสนามบินที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ยังคงปฏิบัติงานเป็นปกติเมื่อวานนี้ โดยไม่มีวี่แววอย่างชัดเจนของการเสริมมาตรการรักษาความปลอดภัยใดๆ หลังจากที่มีความพยายามที่จะระเบิดเครื่องบินที่เมืองดีทรอยต์

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ดูแลเรื่องความปลอดภัยที่สนามบิน บอกว่าทุกอย่างที่สนามบินดำเนินการไปโดยไม่มีการเสริมมาตรการด้านความปลอดภัยเป็นพิเศษแต่อย่างใด ไม่มีทั้งการส่งทีมต่อต้านระเบิดเข้ามาที่สนามบิน หลังจากที่ชายชาวไนจีเรียพยายามระเบิดเครื่องบินโดยสารสายการบินนอร์ทเวสต์ ที่บินมาจากกรุงอัมสเตอร์ดัม พร้อมด้วย 278 ชีวิตบนเครื่อง ขณะที่เครื่องบินที่บินขึ้นลงที่สนามบิน ก็ยังคงเป็นไปตามกำหนดการณ์เดิม

ด้านผู้โดยสารเองก็ดูเหมือนจะไม่ได้ให้ความสนใจกับเหตุการณ์ที่ดีทรอยต์มากนัก โดยบางคนบอกว่าไม่รู้เรื่อง และก็จะเป็นการดีกว่าที่ไม่รู้เรื่อง แต่ก็รู้สึกว่า กระบวนการต่างๆ ในการขึ้นเครื่อง ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เพราะมีคนมาใช้บริการน้อย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook