"ฮาย Paper Planes" เจอเรื่องหนักที่สุดในชีวิต เพลงดังแต่ไม่มีความสุข
เรียกว่าประสบความสำเร็จสุดๆ จากเบื้องหลังสู่เบื้องหน้า ฮาย-ธันวา เกตุสุวรรณ หรือ ฮาย Paper Planes ศิลปินที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว ที่สร้างปรากฎการณ์ไวรัลอยู่บนโซเชียล ดังถล่มถลายขึ้นแท่นไอดอลขวัญใจวัยรุ่นฟันน้ำนม ล่าสุดมาเปิดใจในรายการ WOODY FM ถึงกระแสความแรงตั้งตัวไม่ทัน จนทำให้ป่วยเป็นโรคแพนิก พร้อมเล่าถึงเรื่องความรักจากเพื่อนสู่แฟน
ปีที่ผ่านมาอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดคืออะไร ?
"ตอนที่วงมีเพลงฮิต ทุกคนคิดว่าผมน่าจะแฮปปี้ที่สุด แต่มันแลกด้วยอะไรหลายๆ อย่างมา ก็คือมันทำให้ผมป่วยเป็นแพนิก ต้องบอกก่อนว่าผมทำงานเบื้องหลังจนค่อนข้างอยู่ตัว สามารถหาเงินได้แล้วก็มีปัจจัย 4 ที่โอเคแล้ว ตอนช่วงที่เพลงดังเหมือนกับว่าผมทำงานอยู่ที่บ้านซะจนเคยตัว รู้สึกว่ามันเป็นเซฟโซน ไม่ต้องไปเจอคนหลายๆ แบบ ต้องเดินทางในแบบที่เราไม่ชอบ"
"คือผมเป็นคนกลัวเครื่องบิน และไม่ชอบอยู่ในที่ๆ คนเยอะ แต่พอช่วงเพลงแรกเริ่มมา เพลงเสแสร้ง ผมต้องออกไปเจอคนค่อนข้างเยอะต้องเดินทางในแบบที่ไม่ชอบ เวลานอนค่อนข้างน้อย เลยทำให้เราอยู่ดีๆ ป่วยเป็นแพนิก เราก็เริ่มกลัวที่แคบกลัวเครื่องบินแบบหนักขึ้นจนต้องพบแพทย์ ผมว่าอันนี้คือหนักสุดในปีที่ผ่านมา"
เริ่มเป็นเมื่อปีที่แล้วเหรอครับ ?
"ใช่ครับ น่าจะประมาณช่วงเริ่มทัวร์ตอนซิงเกิ้ลเสแสร้ง"
ครั้งแรกตอนโรคแพนิกมาเป็นยังไง ?
"ตอนนั้นอยู่บนเครื่องบินแล้วก็ใจสั่นมากๆ เหงื่อไหล ชีพจรเต้นเร็ว แล้วก็ตัวสั่นครับ ตอนนั้นก็คิดว่าทำไมกลัวขนาดนั้น ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันเริ่มหนักขึ้นเมื่อเราเข้าลิฟต์แล้วกลัวที่แคบมากๆ ก็เริ่มสังเกตตัวเองว่าใจเต้น เหงื่อออก ไปเล่นคอนเสริต์เจอคนเยอะๆ บางคนก็น่ารักบ้าง บางคนก็ไม่น่ารักบ้าง ก็เริ่มรู้สึกว่าจากวันที่เรายังทำงานเป็นเบื้องหลังที่อยู่ในเซฟโซน ตอนนี้เรารู้สึกเหมือนเริ่มเสียเซฟโซนไป รู้สึกว่าคนรอบข้างไว้ใจไม่ได้เป็นหนักขนาดนั้น อันตรายอยู่รอบตัวไปหมด"
"มีเหตุการณ์หนึ่ง คือเรากำลังจะไปเล่นที่ผับหนึ่ง แล้วก็มีข่าวออกมาว่าผับนั้นไฟไหม้ เลยรู้สึกว่าทำไมเรามีเพลงฮิตออกมาเล่นแล้ว กลายเป็นว่ามีมุมที่ไม่มีความสุขเยอะเหมือนกันนะ ก็เลยคุยกับเพื่อนและไปปรึกษาคุณหมอ เขาก็ประเมินว่าเป็นโรคกลัวที่แคบและกว้างมากๆ ตอนนี้ก็ผ่านมาได้ 3-4 เดือนแล้วครับ"
แล้วแพนิกยังมาไหมครับ ?
"ตอนนี้แพนิกช่วงแรกๆ ไม่มา คุณหมอบอกว่ายามันช่วยเราได้แค่นิดเดียว นอกนั้นมันต้องเผชิญ เราต้องปรับมายเซ็ทของเรา ผมก็เลยเริ่มๆ ปรับ มาช่วงนี้ก็ดีขึ้นมากครับ ขึ้นลิฟต์ได้ ขึ้นเครื่องบินไม่ค่อยเป็นอะไรแล้ว จะมีบ้างตอนสภาพอากาศไม่ค่อยดี"
มีความรักไหม ?
"ตอนนี้มีแฟนอยู่ครับ เป็นความรักที่ดี อยู่กันแบบเพื่อนเข้าใจกัน เพราะว่าเป็นเพื่อนกันมาก่อน ในตอนแรกจริงๆ เขาไม่ชอบผมด้วยซ้ำ ด้วยลุคภายนอกเพราะผมเป็นคนไม่ค่อยยิ้ม เพราะว่ามีปัญหาชีวิตค่อนข้างเยอะในช่วงที่เราเหมือนกับว่าสร้างตัวเองครับ แล้วมันมีแต่เรื่องเครียดๆ หน้าผมก็จะไม่ค่อยยิ้ม"
"พอในวันที่เริ่มพร้อมทุกอย่าง ผมเป็นคนที่ยิ้มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว ซึ่งแฟนผมเขาไม่ค่อยชอบผมในตอนนั้นเหมือนขี้แอ็ค ไม่ค่อยเอาใคร แต่ว่า ณ วันหนึ่งเขาเห็นการเปลี่ยนแปลงของเราทั้งเรื่องชีวิตทั้งเรื่องมายเซ็ท ค่อยๆ เติบโตขึ้นต่อสู้ดิ้นรน พัฒนาตัวเองเขาก็เริ่มชอบเราละลายอคติ"
ตอนนี้เขาชอบคุณมากไหม ?
"ผมว่าเขาชอบมาก (หัวเราะ)"
สิ่งที่พี่เองก็ยังตกใจเพลง ทรงอย่างแบด (Bad Boy) กลับกลายเป็นว่าเด็กร้องกันทั่วบ้านทั่วเมือง ปรากฏการณ์มันมายังไง ?
"ตอนแรกๆ เริ่มจากเพลงเสแสร้งก่อน ตอนนั้นเด็กเริ่มแต่งตัวตาม แต่ว่าตอนนั้นมันยังไม่ชัดมาก พอมาเพลงทรงอย่างแบด เริ่มมีคลิปร้องเพลงกันออกมา ที่เห็นชัดๆ เลยคือเป็นคลิปจากซาฟารีเวิลด์ ก็คือเด็กๆ ร้องกันแบบดังระงม ผมหันไปคุยกับเพื่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้น ใครไปเปิดให้น้องเขาฟัง เริ่มมีคลิปแบบนี้ออกมาต่อๆ กัน เรื่อยๆ"
"เริ่มไปร้องกันในโรงเรียน จนมาถึงน้องเสื้อฟ้าๆ ที่จัดแบบมินิสเตจ แล้วนักข่าวก็เริ่มนำมาเขียนนั่นโน้นนี่ เราก็งงเพราะไม่ได้เป็นสิ่งที่เราแพลนไว้เลย ช็อกทำไรไม่ถูก ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ไงที่ค่ายก็งง จนไปเจอเด็กๆ ที่งานเริ่มมีคุณพ่อคุณแม่อุ้มมาดู ชีวิตผมเปลี่ยนไปแล้ว (ยิ้ม) แต่ก็สนุกมากขึ้นเพราะเราชอบเด็ก"
รู้สึกว่าเราต้องมีความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้นไหม ?
"รู้สึกว่าเรานึกถึงหนังพวกซุปเปอร์ฮีโร่ คือผมไม่ได้รู้สึกว่าเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ แต่มันเปรียบเทียบได้ดีคือพอเมื่อเขามีพลังขึ้นมา จะมีภารกิจที่ต้องกู้โลกต่อสู้กับปีศาจ แต่ว่าในระหว่างทางนั้นพลังของเขามันมีผลเสียอยู่ อย่างเช่นการทำบ้านเมืองพัง การทำอะไรไปโดยที่ไม่สามารถควบคุมได้"
"การที่วันหนึ่งผมอยู่ๆ มาเป็นหัวหน้าแก๊งค์เวลาเด็กๆ เขาชอบเรา บางเรื่องเด็กเขาซึมซับไปได้เร็วโดยที่เขาไม่ได้ตัดสิน หรือว่าเขาไม่ได้วิเคราะห์ อะไรที่มันสุ่มเสี่ยงหรืออธิบายไม่ได้ ณ ตอนนั้นเลยผมจะเลี่ยงก่อนแต่อะไรที่อธิบายได้ก็อธิบาย ผมว่าสุดท้ายแล้วเด็กแค่ต้องรู้ว่าอันไหนมีข้อดีหรือข้อเสีย แล้ววันหนึ่งเขาก็จะรับมันไปเอง แต่ที่สำคัญเขาต้องรู้ว่ามันมีผลยังไง เลยคิดว่าอาจจะต้องคิดเรื่องนี้กันมากขึ้น เพราะเด็กๆ ก็ติดตามเยอะมากขึ้น"
สามารถติดตาม Woody FM ได้ที่ช่องทาง Podcast : WOODY FM , Facebook: Woody, Youtube: Woody ทุกวันพุธ เวลา 19.00 น.
อัลบั้มภาพ 17 ภาพ