ญาติช็อก หนุ่มใหญ่ป่วยจิตเวช คว้าตุ๊กตาปูนปลาสเตอร์รูปหมู ทุบหน้าแม่ดับคาบ้าน
สลด! หนุ่มวัย 44 ปี ป่วยจิตเวช อาการกำเริบ คว้าตุ๊กตาปูนปลาสเตอร์รูปหมูทุบหน้าแม่ นอนจมกองเลือดเสียชีวิตในบ้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (29 ม.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น. นางมะลิ อายุ 72 ปี ถูกนายศุภชัย หรือ จ่อย อายุ 44 ปี ลูกชายซึ่งป่วยจิตเวชใช้ตุ๊กตาปูนปลาสเตอร์รูปหมูทุบใบหน้าเสียชีวิตภายในบ้าน ที่ ม.2 บ.หัวฝาย ต นาดี อ.หนองแสง ซึ่งเป็นบ้านปูน 2 ชั้น มีรั้วรอบขอบชิด สร้างอยู่ในเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่
โดยช่วงสายเวลาประมาณ 09.00 น. มีญาติมาพบศพผู้ตายนอนหงายเสียชีวิตจมกองเลือด อยู่บริเวณหน้าประตูห้องโถงชั้นล่าง และพบผู้ต้องสงสัยคือนายจ่อย ลูกชายที่มีอาการทางประสาทรักษาตัวมานานกว่า 10 ปี อาศัยอยู่บ้านที่เกิดเหตุกับแม่ตามลำพัง 2 คน นั่งเครียดอยู่หน้าบ้าน โดยพูดจาไม่รู้เรื่อง ญาติจึงโทรศัพท์แจ้งตำรวจมาควบคุมตัวไปสอบสวนที่โรงพัก ในช่วงเที่ยงวันเดียวกัน
ที่เกิดเหตุพบศพ นางมะลิ นอนเสียชีวิต สภาพศพสวมเสื้อคอกระเช้าลายดอกสีชมพูเขียว นุ่งผ้าถุงสีม่วง ไม่สวมรองเท้า ใบหน้าด้านขวาบริเวณเบ้าตาถูกของแข็งทุบหลายครั้งจนกะโหลกด้านหน้าแตก เลือดปนมันสมองไหลนองพื้น โดยแพทย์ระบุถูกฆาตกรรมตั้งแต่ช่วงเช้ามืดวันนี้ ก่อนญาติมาพบตอนช่วงสาย
ตรวจสอบรอบๆ บริเวณพบร่องรอยการต่อสู้ และพบตุ๊กตาปูนปลาสเตอร์รูปหมูเปื้อนเลือดตกอยู่ 1 ตัว และตุ๊กตาปูนปลาสเตอร์รูปเด็กผู้หญิงและรูปไก่ที่มีรอยแตกบางส่วนทั้ง 2 ตัว ตำรวจจึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
จากการสอบสวน นายศุภชัย หรือ จ่อย ให้การไม่รู้เรื่อง และปฏิเสธไม่ได้เป็นคนลงมือฆ่าแม่ แต่ตนได้กราบลาเพื่อขออโหสิกรรมกับแม่แล้ว และไม่ได้พูดอะไรมาก ก่อนถูกตำรวจควบคุมตัวมาโรงพัก รู้สึกเสียใจที่แม่ตาย แม่ไม่ด่า แต่จะชอบบ่น ตนคงไม่ได้บวชให้แม่ เพราะได้บวชให้แม่แล้ว ตนก็อยากบอกแม่เพียงสั้นๆ ว่า ถึงฝั่งฝันและเวลาชีวิตแล้ว
ด้าน นางสาวเจษฎา อายุ 64 ปี อดีตนายก ทต.นาดี น้องสาวผู้เสียชีวิต เล่าว่า ตอนเช้าญาติพี่น้องมารับผู้ตายไปทำบุญขึ้นบ้านใหม่น้องสาว ที่อยู่ในหมู่บ้านนาดี ต.นาดี และมาพบนายจ่อย หลานชายของตนยืนหน้าบ้าน และบอกตนว่าแม่นอนไม่ตื่นแล้ว
พี่ชายจึงขอเข้าไปดูแต่เข้าบ้านไม่ได้ เพราะหลานชายบอกว่าทำกุญแจหาย นายจ่อยจึงไปเอาบันไดอลูมิเนียมมาให้พี่ชาย ซึ่งเป็นน้าของนายจ่อย ปีนข้ามรั้วหลังบ้านเข้าไปก็พบว่าพี่สาวนอนเสียชีวิต ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม
ตอนนั้นพี่ชายของตนไม่กล้าบอกตน เพราะกลัวหลานชายทำร้าย และทำทีโทรบอกตนว่าจะออกไปทำธุระ และโทรศัพท์แจ้งตำรวจ ก่อนโทรมาบอกตนและญาติๆ ซึ่งอยู่ในงานว่าขึ้นบ้านใหม่ว่าพี่สาวเสียแล้ว
เมื่อเสร็จงานตนและกลุ่มญาติ จึงมาที่บ้านพบหลานชายยืนในรั้วบ้าน ตนจึงถามว่าทำไมไม่เปิดประตู หลานชายบอกว่ากุญแจหาย ตนก็ได้ถามว่าแม่ตื่นหรือยัง หลานชายบอกว่าแม่ตายแล้ว ตนถามใครทำเพราะจ่อยอยู่กับแม่ 2 คน หลานชายตอบตนว่าอยู่กัน 2 คนจริง แต่ไม่ได้ทำอะไรแม่ ตนก็ถามย้ำไปอีกว่าใครทำร้ายแม่ หลานชายก็บอกไม่รู้
เมื่อตำรวจมาถึงได้ตัดกุญแจประตูรั้วหน้าบ้านเข้าไปดู ต้องพากันตกใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งหลานชายป่วยจิตเวชมาสิบกว่าปีแล้ว ช่วงป่วยแรกๆ ตำรวจเคยมาจับตัวไปรักษาอาการ และหากมีอาการคลุ้มคลั่งก็มาควบคุมตัวส่ง รพ.เป็นประจำ
หลานชายขาดยาหรือไม่นั้นตนคิดว่าไม่ขาด เพราะเขากินยารักษาเป็นประจำ แต่คนที่เป็นโรคแบบนี้ หากถึงวันพระจะมีอาการแบบนี้ตลอด และหากมีอาการเขาก็จะบอกว่าไม่ค่อยสบาย และพูดจาอยู่คนเดียว ตนก็ไม่ได้สอบถามอะไรมากเพราะกลัวเขาคลุ้มคลั่งอาละวาดอีก
ด้าน พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า จากการสืบค้นพยานหลักฐานพบว่า ลูกชายผู้ตายป่วยจิตเวช และมีร่องรอยแผลที่นิ้วก้อยด้านขวา จากการใช้ปูนปลาสเตอร์รูปหมูที่เปื้อนเลือด และมีน้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม ทุบหน้าแม่ของตนเองหลายครั้งจนเสียชีวิตตอนช่วงเช้ามืด
ซึ่งตำรวจเชื่อว่าในบางจังหวะที่ผู้ก่อเหตุ ใช้มือด้านขวากำปูนปลาสเตอร์ทุบหน้าแม่นั้น อาจจะพลาดไปกระแทกกับพื้นทำให้ปลายนิ้วก้อยแตกเป็นแผลที่ยังใหม่และสด จึงมั่นใจว่าลูกชายเป็นผู้ก่อเหตุ
เนื่องจากเคยมีประวัติเป็นผู้ป่วยจิตเวช ทาง ตร.สภ.หนองแสง เคยนำตัวส่งรักษาที่โรงพยาบาลธัญญารักษ์กรุงเทพ เมื่อ 15 ปีที่แล้ว และมีการยืนยันว่าเคยนำไปรักษาอาการจิตเวช จากการใช้สารเสพติดในขณะนั้น
กระทั่งเมื่อวานนี้ผู้ก่อเหตุอาการไม่ดี จึงเข้าไปพบแพทย์ที่ รพ.ศูนย์อุดรธานี และได้จ่ายมาให้ผู้ก่อเหตุกิน ตรวจสอบปัสสาวะผู้ก่อเหตุก็ปกติ ไม่มีสารเสพติด ส่วนการดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุ ทางเราได้แจ้งข้อกล่าวหา “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา (บุพการี)” ส่งตัวฝากขังเพื่อให้แพทย์วินิจฉัยอาการ หรือให้ลงความเห็นว่า ในช่วงที่เขาก่อเหตุนั้นมีความรับผิดชอบชั่วดีหรือไม่
ถ้ามีอาการป่วยจิตเวชจริง การดำเนินสำนวนก็จะหยุดไว้จนกว่าผู้ก่อเหตุจะรักษาอาการหาย หรือมีสติ จึงจะเริ่มสำนวนคดีต่อ แต่ถ้าแพทย์ลงความเห็นว่าสติเขายังดีอยู่ ก็จะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย และทางเรามีความมั่นใจว่าคดีนี้ไม่สลับซับซ้อน เพราะมีวัตุพยาน หลักฐานในที่เกิดเหตุครบถ้วน