“แพร พิชชาภา” ไม่หวังขึ้นแท่นนางร้ายเบอร์หนึ่ง ชินกับความโสด จนหลุดโฟกัสเรื่องรัก
ถ้าพูดถึงนางร้ายฝีมือดียุคนี้ ต้องมีชื่อของนักแสดงสาว แพร-พิชชาภา พันธุมจินดา ขึ้นแท่นเป็นอับดับต้นๆ อย่างแน่นอน ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าตัวได้พิสูจน์ตัวเอง มีผลงานสร้างชื่อมากมาย เมื่อ sanook.com มีโอกาสได้พูดคุยกับแพร ถึงบทบาท พิมรตา ในละคร ที่สุดของหัวใจ กำลังออกอากาศทาง ช่อง 3HD แถมยังได้กระแสตอบรับดีมากๆ พร้อมทั้งอัปเดตสถานะหัวใจ ที่ไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องราวความรักที่ไหนมาก่อน
“ที่สุดของหัวใจ” ฟีดแบ็กดีเกินคาด
“ใช่ ดีใจมาก กลับมาเช็กฟีดแบ็กมีคนแท็กมาให้ในไอจีก็คือแบบ มันฮอตมาก เพราะว่าแพรถ่ายเองในกองยังรู้สึกสนุก แล้วพอมาดูเอง ก็คือรู้สึกว่า เฮ้ย ดูแล้วสนุกมากๆ แล้วคนรอบตัวที่บ้านดูก็บอกเรื่องนี้สนุกจริงๆ”
ในเรื่องจิกเก่งมาก
“ในเรื่องก็ไม่นะคะ(หัวเราะ) ส่วนใหญ่แพรว่ามันคือคำชมมากกว่า แต่ส่วนใหญ่เขาก็จะอยากหยุมหัว อยากหมั่นไส้ อยากตีพิมอะไรอย่างเนี่ย เพราะว่าแบบเธออะยุ้ยอะย้ายกับแฟนเก่าเหลือเกิน แต่แพรก็รู้สึกว่ามันก็คือคำชมเนอะ เราก็แบบรู้สึกมันเวลาอ่านแบบนี้ แล้วก็แบบ ใช่ ฉันก็รู้สึกเหมือนเธอเหมือนกัน สนุกดีค่ะ”
“เรื่องนี้ยอมรับว่ากระแสดีมากจริงๆ แล้วคนก็พูดถึงเยอะมาก อาจจะเป็นเพราะว่าด้วยตัวเรื่องที่สนุก และก็เข้าถึงแบบปัญหาความรักของแต่ละคนได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาครอบครัว ปัญหาพี่น้อง ปัญหาของสามีภรรยา ก็เลยแบบว่าคนดูอาจจะสามารถทัชกับมันได้ง่ายขึ้น”
“ชื่นใจในฐานะคนทำงาน และก็เป็นหนึ่งในทีมแล้วก็รู้สึกแบบว่าเราเห็นพี่ๆ ทุกคนตื่นเช้ามาตั้งใจทำงานเหนื่อย แล้วก็ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงตัวละครตัวไหนก็คือทุกคนเต็มที่ ผู้กำกับ ผู้จัด ทุกคนคือตื่นเต้นกับงานนี้มาก”
เรื่องนี้หลากหลายอารมณ์ เลิฟซีนก็ดุเดือดมาก
“เป็นเรื่องแรกของแพรที่เลิฟซีนดุเดือดขนาดนี้ เพราะส่วนใหญ่ชอบเขาแต่เขาไม่รักเรา เขาไม่ให้เราเข้าใกล้ เรื่องนี้มีสามีแล้ว ถามว่าเลิฟซีนกับใครดุเดือดกว่าตอนถ่ายพอๆ กันค่ะ แต่ว่าของแพรมันเป็นแบบ มันโดนตัดไปค่ะ ในส่วนที่โดนตัดเพราะอะไร ก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ(หัวเราะ)”
ฉากเลิฟซีนวาบหวิวเกินไป
“อาจจะมั้งค่ะ แต่เราก็แบบโพรเทคหมดนะ เราก็ไม่ได้แบบโป๊อะไรขนาดนั้น แต่ก็อาจจะเล่นเสมือนจริง ถือว่าเป็นประสบการณ์การทำงานอีกแบบ สุดท้ายภาพตัดออกมาก็คือเรื่องราวเล่าได้ต่อเนื่อง แล้วก็สวยงามอยู่ รู้สึกมันยังสนุกเหมือนเดิม แล้วก็เข้าใจได้มากขึ้น ถึงเราจะแสดงไปแล้วแต่ไม่รู้สึกเสียดายค่ะ”
ในมุมของนักแสดง ทุ่มเทเล่นไปแล้วแต่สุดท้ายฉากนั้นต้องโดนตัดออก
“คือส่วนตัวแพร แพรมองว่าสุดท้ายการที่ผลงานมันจะออกมา ทางช่องและทางค่ายต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดมาให้คนดูอยู่แล้ว เขาคงไม่แบบรู้สึกอยู่ๆ มันเยอะไปแล้วตัดออก โดยที่เรื่องราวมันเปลี่ยนไป หรือว่ามันไม่สมูธมันไม่สนุกอะไรอย่างเนี่ย หนูก็เลยรู้สึกว่าไม่ว่าทางผู้ใหญ่ หรือว่าทางค่ายจะตัดสินใจ แม้กระทั่งบทเขาก็ยังต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด แพรเชื่อว่าทุกอย่างมันออกมาเพอร์เฟ็กต์ แล้วมันก็ออกมาเพอร์เฟ็กต์จริงๆ สำหรับแพรนะ ยิ่งได้อ่านคอมเมนต์ก็รู้สึกว่ามันลงตัว เรื่องนั้นเลยไม่มีผลค่ะ”
ยากที่สุดสำหรับเรื่องนี้คืออะไร
“เรื่องอารมณ์และเลฟเวิลของความรู้สึก คือในเรื่องตัวละครเป็นผู้หญิงที่แต่งานมา 8 ปี แต่มีปัญหาเรื่องสามีนอกกายมาตลอด แต่เขาไม่ได้นอกใจเรา ซึ่งตัวแพรเองไม่ได้มี เขาเรียกว่าประสบการณ์ด้านนี้มา แล้วแพรรู้สึกว่าแค่ประสบการณ์สามีภรรยาเรายังพอเข้าใจได้ แต่เป็นเวอร์ชั่นที่ถูกนอกกาย แต่ไม่ได้นอกใจ มันดูซับซ้อน”
“แพรก็เลยรู้สึกว่า โอเคผู้หญิงที่ต้องเสียใจในเรื่องนี้ จนตัดสินใจ เฮ้ย ฉันจะกลับไปหาแฟนเก่าแล้วนะ ทั้งๆ ที่ทิ้งเวลามา 8 ปี แพรรู้สึกว่าเขาต้องแบบซัฟเฟอร์กับเรื่องนี้เยอะมาก กว่าที่จะแบบมาเจอแฟนเก่า พยามไปยิ้มให้แฟนได้อะไรอย่างเนี่ย แพรรู้สึกว่ามันไม่ใช่อยู่ๆ ฉันจะเอาคนเก่า แพรว่าข้างในเขาก็ต้องตีกันอยู่ลึกๆ ตอนเล่นผู้กำกับก็คือเป็นคนที่บรีฟละเอียดมาก เขาจะไม่ให้เราเล่นแบบเอาเทอร์อย่างเดียว เขาจะดูว่าแบบแววตาเรา เป็นรีแอ็กเล็กๆ ของเรามันลึกพอมั้ย ใช่หรือเปล่า แพรรู้สึกตรงนี้มันเป็นความท้าทายการทำงานของแพร”
เล่นร้ายมาหลายเรื่อง แต่เรื่องนี้ต่างจากเรื่องอื่น
“แพรไม่เคยเล่นร้ายนะคะ จริงๆ แพรมองว่าทุกเรื่องเป็นคนดีหมด แต่เขาเลือกที่จะแบบว่า เลือกทางเดินไหนในชีวิต ซึ่งถ้าสมมติมมองว่าร้ายแบบไหน แพรมองว่าแต่ละคนอาจจะแบบแพรได้ร้ายซ้ำๆ เดิมๆ ถ้าไม่ร้ายก็คือสุดท้ายก็ต้องกลับไปเป็นคนดี หรือว่าเป็นคอมเมดี้”
“แต่แพรว่าอันนั้นมันอาจจะเป็นการมองที่แบบฉาบฉวยนิดนึง เพราะถ้าสมมติเราเริ่มดูตั้งแต่ต้นเรื่องจนถึงปลายเรื่อง ในทุกๆ เรื่องเขามีเส้นทางชีวิตที่ต่างกัน มุมมองความคิดการเลือกในชีวิต แพรก็เลยรู้สึกว่าทุกเรื่องที่แพรได้เล่นมันท้าทาย และแพรก็สนุกมาก”
ผ่านงานแสดงมาหลายเรื่อง แต่เพิ่งมาปังช่วงหลัง
“ดีใจที่มีคนชอบขอบคุณค่ะ แต่ว่าคำว่าประสบความสำเร็จของแพร จริงๆ มันเริ่มมาตั้งแต่แพรก้าวเข้ามาเป็นนักแสดง เพราะว่าเราไม่เคยคิดว่าคนอย่างเราจะได้มาเป็นดาราออกทีวี นี่คือการประสบความสำเร็จที่อยู่ๆ เราก็มีงานขึ้นมา แล้วก็ได้มาเป็นงานที่เราไม่เคยกล้าคิดว่า เฮ้ย เราจะได้มาเป็นคนนี้เหรอ คนที่แบบเดินไปข้างนอกแล้วคนแบบจำเราได้ นี่แหละประสบความสำเร็จของแพรมีอยู่แค่นี้ค่ะ”
ขึ้นแท่นเป็นนางร้ายเบอร์หนึ่ง
“ไม่น่า เพราะแพรรู้สึกว่าคนที่เล่นร้ายมีหลายคน แล้วแต่ละคนก็คือเล่นแซ่บๆ ทั้งนั้นเลย ก็ไม่ได้ที่หนึ่งนะ ไม่ ไม่ได้มองอย่างนั้น”
ได้เป็นนักแสดงถือว่าประสบความสำเร็จ แต่ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง
“แพรรู้สึกว่าโกลการเป็นนักแสดงของแพร คือแพรอยากเป็นนักแสดงที่ไม่ได้แบบมาแล้วหายไป คือต้องแบบมีกระแสไรบ้างอย่าง เราอยากพรูฟตัวเองบ้าง ถ้าแบบตอนเด็กๆ เราไม่เคยได้ที่หนึ่งอะไรอย่างเนี่ย เราก็อาจจะแบบเราอยากให้คนจดจำเราได้บ้าง”
“แล้ววันนี้ทุกคนจดจำเราได้ในเรื่องที่เกี่ยวกับการทำงานจริงๆ เราก็รู้สึกว่ามันคอมพลีสแล้ว แพรไม่ได้ไปแบบมานั่งคิดว่าเราจะเป็นที่หนึ่งมั้ย ถ้าเราคิดอย่างนั้น วันนึงเราจะรู้สึกว่าแบบมีคนมาแซงเรามั้ย เราก็จะไม่แฮปปี้กับการทำงานเลย รู้สึกว่าโฟกัสแค่ตัวเองมันก็ยากพอละ ไม่โฟกัสคนอื่น”
จะเลือกบทแต่ละบทยากขนาดไหน
“ไม่ได้เลือกนะ ปกติแพรแทบไม่ได้เลือกเลย แต่ก็จะมีเลือกน้อยมาก ถ้าสมมติเป็นแบบ 15 เรื่อง แพรเลือกไม่เล่นอยู่แค่ 2 เรื่องจริงๆ ที่แบบเหมือนเขาติดต่อมาแยกไม่ใช่จากช่อง เหมือนติดต่อจากค่ายมาเอง แต่จริงๆ แพรรับทั้งหมดเลย เพราะแพรรู้สึกว่าแต่ละบทมันไม่มีอะไรที่เหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วมันก็เป็นความท้าทายของนักแสดงด้วย เฮ้ย บทที่มันคล้ายๆ กับของเดิม เราจะเล่นยังไงให้คนจำในตัวใหม่ได้”
ที่ผ่านมาได้รับคาแร็กเตอร์ซ้ำบ้าง
“มันจะมีแบบดีเทลไม่ซ้ำ แต่พอไปเล่นจริง เขาเคยเห็นผลงานเราอันเก่าแล้วเขาชอบแบบนี้ เขาอยากได้แบบนี้ เขาเลยอยากให้เรามาเล่นเรื่องนี้ แต่ในฐานะนักแสดงเราสามารถเล่นได้ แต่เราพยามจะหาเวย์ที่ไม่อยากทำให้เหมือนร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่งั้นคนก็จะมองว่าเหมือนเดิมอีกละไม่พัฒนา”
คาแร็กเตอร์แบบไหนที่เราปฏิเสธไม่รับเล่น
“เป็นเรื่องที่โผล่มาเฉยๆ แล้วเคยเล่นซ้ำไปแล้ว เป็นรับเชิญ หนูเล่นรับเชิญหลายเรื่องมาก แต่พอรับเชิญบทบาทมันจะไม่เยอะใช่มั้ยคะ แล้วมันได้เล่นแบบเดิมเป๊ะเลย แล้วมันได้ออกมาไม่กี่เสี้ยวนาที อย่างเช่น ออกตอนเดียวอย่างเนี่ย แพรก็จะรู้สึกว่า โอเคหนึ่งเราไปเล่นเราได้พัฒนามั้ย สองคนที่เขาจ้างเราเขาจะได้อะไรจากเรามั้ย”
“ถ้าสมมติเราไปก็แค่เป็นงูๆ ปลาๆ มันมีคนที่พร้อมจะ เฮ้ย เขาอยากเล่นอะ เพราะว่าเราก็มีละครของเราอยู่แล้วเต็มทั้งอาทิตย์แล้ว แล้วก็รู้สึกว่าโอกาสนั้นเหมาะกับคนอื่นมากกว่าเรา แต่จริงๆ เขาไม่ได้ฟิกนะว่าต้องเป็นเรา เขาบอกโอเคมั้ย เพราะถ้าไม่โอเคเขาก็มีคนอื่น เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่”
นักแสดงบางคนต้องขอเลือกบทก่อน
“ไม่รู้อะ แพรเป็นคนยังไงก็ได้อยู่แล้ว และก็รู้สึกว่าทุกครั้งที่เราไปทำงานกองใหม่ๆ บทใหม่ๆ มันเหมือนการที่เราได้เริ่มหนึ่ง มันไม่ใช่ว่าแบบ เฮ้ย เราได้เล่นมีโอกาสมาหลายเรื่อง แล้วเราจะแบบฉันเก่ง มันไม่ใช่ เหมือนพอเราไปอยู่ที่ใหม่ วัฒนธรรมกองใหม่ ในมุมมองความคิดทัศนคติการทำงานแบบใหม่”
“เราก็ได้เริ่มต้นใหม่เรื่อยๆ รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่เป็นประสบการณ์ให้เรา โดยที่อาชีพอื่นอาจจะไม่มีให้เรามากเท่านี้ก็ได้ ก็เลยรู้สึกว่าเราแอพพรีชิเอทกับสิ่งที่เขายื่นให้เรามา เราก็เอ็นจอยกับตรงนี้ค่ะ”
ปีนึงรับละครมากที่สุดกี่เรื่อง
“ฮู้ นั่นเมื่อหลายปีที่แล้วนะคะ อันนั้นก็จำไม่ได้อะ ก็เยอะอยู่แต่ว่าตอนนี้ก็คือเป็นปกติ แต่ทุกคนชอบคิดว่าแพรมีเยอะก็เลยแบบว่าไม่จ้างงานแพร(หัวเราะ) เพราะคิดว่าแพรเต็ม แต่จริงๆ แพรว่างค่ะทุกคน ปีนี้ก็น่าจะสองสามเรื่องค่ะ”
“แต่ตอนนี้ออนไปแล้ว 2 เรื่อง เหลือเรื่องเดียวที่ถ่ายอยู่ แล้วเขาบอกว่ากะจะออนแอร์ปีนี้ แต่ยังไม่แพลนชัวร์ๆ นะแม่ แล้วแพรก็จะหายไปเลย 3 ปี(หัวเราะ) เพราะว่าละครมันออนเป็นต่อนรวมกันไปแล้วไง ก็จะให้คนอื่นออกมาบ้าง ผลัดหน้าจะได้ไม่เบื่อกัน”
มีช่วงที่เราหายหน้าไป
“มีค่ะ ไม่มีละคร(หัวเราะ) อาจจะเป็นช่วงโควิดไงพี่สาว แบบว่ากองแต่ละกองก็เหมือนเลือกที่จะเปิดมากขึ้น แล้วก็การทำงานมันลำบากขึ้นก็เข้าใจได้”
‘ช่วงไม่มีงานไม่ถึงขนาดหันมาทำยูทูบแทนหรอก เรียกว่าก็หาทำควบคู่ไปด้วย เผอิญว่าแบบเพื่อนชวน เออ เราไม่เคยไปสื่อที่เป็นออนไลน์เลยเนอะ ก็เลยแบบลองทำเป็นประสบการณ์ใหม่ค่ะ”
มีรุ่นพี่นางร้ายคนไหนเป็นไอดอล
“จริงๆ เมื่อก่อนมีนะ แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้มีฟิกเป็นแบบคนนี้ตลอดกาล แต่เราจะมีแก่นว่าเราชอบคนนี้เพราะอะไร เราชอบคนนี้เรื่องอะไร ถ้าเป็นนางร้ายที่แพรชอบ ก็คือในเรื่อง สวรรค์เบี่ยง แพรชอบพี่น้ำผึ้งมาก พี่น้ำผึ้งคือไอดอลคนแรกที่แพรแบบเหมือนดูละครเรื่องนี้ แล้วแพรได้มาเรียนการแสดงของช่อง3”
"หลังจากที่แพรได้มีโอกาสเข้ามาในช่อง เหมือนได้เรียนกับครูเงาะ ครูเงาะเขาเอาบทเรื่องนี้มาให้แพรสอบการแสดง จำได้เลยคู่กับพี่อู๋-สมิทธิ แล้วดีใจมากได้บทนี้ เพราะชอบละครเรื่องนี้มากที่พี่แอนร้องไห้เยอะๆ กับพี่เคน แล้วก็มีพี่น้ำผึ้งที่เป็นพี่สาวสุดจะน่าตบ เราก็แบบเราอยากลองเล่นแบบนี้บ้าง”
"ถ้าเล่นงี้คงจะดีเนอะ เพราะว่าก่อนที่จะได้มาเรียนแอ็กติ้งแพรได้ถ่ายละครเรื่องแรกไป เรื่องผู้ดีอีสาน แล้วเขาก็อิงคาแร็กเตอร์เรา ด้วยความที่เราเป็นคนแบบว่า เป็นเด็กคนนึงที่เฮฮาปาจิงโกะเราก็จะได้เล่นบทวิ่งตามทุ่งหญ้า เราก็เลยรู้สึกว่าพอเห็นพี่น้ำผึ้งเล่นบทนี้ มันแบบ มันลึกอะ เราก็อยากบ้างแล้วก็มีโอกาสได้เล่น ภพรัก ก็เลยขอบคุณผู้ใหญ่ที่ให้โอกาส”
แอบมองอาชีพอื่นนอกจากอาชีพนักแสดง
“จริงๆ พยามหาอยู่นะ หลายคนก็พูดว่าทำธุรกิจสิ ทำอย่างอื่นสิ แต่ก็คิดอยู่ว่าอาจจะทำในวันที่เราหาเจอว่าเราชอบอะไร เพราะแพรเป็นคนที่จะไม่ทำอะไรถ้าไม่ได้ชอบ การแสดงมันเป็นอาชีพที่แพรไม่ได้ตั้งใจมาทำ แต่พอทำแพรอินกับมันมาก แล้วก็ตอนนี้แพรหาอะไรไม่เจอนอกจากการที่แพรรู้สึกว่า แพรชอบตีบทการแสดง คือสนใจทำเขียนบทอยู่ เคยพยามศึกษาแต่รู้สึกว่า มันต้องศึกษาอีกเยอะเลย”
“แล้วก็จะใช้ระยะเวลาในการศึกษา เผื่อวันนึงเราเก็บสะสมประสบการณ์ แล้วก็อาจจะมีโอกาสเขียนบทนะคะ แต่อยากมันก็เป็นหนึ่งในความฝัน เพราะรู้สึกว่าพอเราเล่น เราเริ่มเจอปัญหาว่าคนเขียนบทขาดตลาด คนที่เขียนบทดีๆ ที่เขียนบทแล้วแบบคนอ่านแล้วแบบ ปึ๊บ อะไรอย่างเนี่ย หรือดูแล้วแบบ ปึ๊บ อย่างเนี่ยมันหายาก ฉันก็เลยอยากเป็นคนนั้น แต่ว่ากว่าจะเป็นคนนั้นก็คือ ต้องเขียนให้ได้ ต้องเขียนให้สนุก ก็เลยพยายามจะศึกษา”
อยากทำอาชีพอะไรก่อนมาเป็นนักแสดง
“อยากเป็นครู เพราะแม่เป็นครู เราเป็นฟิลแบบว่าไม่ได้มีประสบการณ์กว้างไกล เราก็เลยมองหาอะไรที่เราเคยเห็นใกล้ๆ ตัว การที่แบบแม่เป็นครูดีเด่นแล้วมีแต่ลูกศิษย์มาสวัสดี มีคนมายกย่อ แล้วก็แบบว้าว โซเก๋ แต่พอโตขึ้นมาเราก็รู้ว่าการเป็นครูมันก็ทุกคนเป็นได้ แต่การจะเป็นครูที่ดีมันไม่ง่าย”
“ทุกอาชีพมันไม่มีอะไรง่ายหรอก อย่างเช่นที่แพรมาเป็นนักแสดงบางคนก็พูดนะว่าแบบ ไม่มาเป็นเขาไม่รู้หรอกว่าแบบโควิดลำบาก กูก็ลำบากค่ะ ไม่มีงานค่ะ กูต้องใช้ตังค์เก่ากินอะไรอย่างเนี่ย ยังโชคดีที่ช่องก่อนหน้านี้จ้าง เพราะถ้าสมมติไม่ค่อยมีผลงาน ก็จะเศร้าเหมือนกัน ทุกอาชีพมีความยากง่าย มีความลำบากที่ต่างกันแต่มันอาจจะคนละเลฟเวิล หรือว่ามีมุมที่ไม่เหมือนกัน แพรก็เลยรู้สึกว่าได้มาทำอาชีพนี้มันก็เป็นโชคดีของเราแล้ว”
เกือบจะได้เป็นคุณครูแพร
“ใช่ แต่จริงๆ ก็อยากเป็นคุณครูนะ ก็ลองคิดอยู่ว่าอยากลองสอนแอ็กติ้ง เคยติดต่อไปที่โรงเรียนหนึ่งแต่ว่ามีพี่คนนึงชะงักเราไว้ได้ เขาพูดว่าแพรการที่เราเคยทำงานเบื้องหน้าไม่ใช่ว่าเราจะสอนคนได้นะ มันคือเราเป็นคนปฏิบัติ”
“คือแพรมองว่าการที่เราเป็นนักแสดงคือเราเป็นอุปกรณ์หนึ่ง คล้ายๆ ศิลปะจะใช้พู่กัน แต่นักแสดงใช้ร่างกาย นักร้องใช้เสียง แต่ว่าการที่เราใช้ร่างกายของเรา ไม่ได้หมายความว่าเราจะไปสอนคนอื่นได้ การสอนมันต้องมีจิตวิทยา เหมือนถ่ายทอดวิชาการให้มนุษย์ แพรก็เลยรู้สึกว่า โอเค นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายของแพรเหมือนกันค่ะ ถ้ามีโอกาสก็อยากเป็น”
อัปเดตเรื่องความหัวใจ
“ไม่มีจริงๆ มีคนเข้ามาคุยแต่เราไม่อยากแปลเจตนาว่าเขามาจีบเสมอไป ด้วยเขาเป็นคนเฟรนด์ลี่ เฟรนด์ลี่นี่ไม่ได้หมายความว่าไปคุยกับผู้ชายก่อนนะ ใครทักเราก็ทักได้ แต่เราจะไม่ไปสุงสิง แพรรู้สึกว่าทุกคนเป็นเพื่อนแพรหมดเลย”
มีคนไหนที่รู้สึกว่าเขามาจีบ
“ไม่มีเลย โสดมา 2 ปีครึ่งแล้ว แต่ก่อนเคยมีแฟนแล้วก็เลิกกันไป ก็เป็นชีวิตคนโสดๆ ไม่ได้พูดแบบว่าสวยนะ แต่มันเพิ่งมาตกผลึกได้เมื่อปีที่แล้ว เราเริ่มรู้สึกว่าเราเริ่มชินกับการอยู่คนเดียว มันมีปัจจัยอื่นให้ได้มองอีกนะ เช่น การงาน ไม่ใช่ว่าเราจะมาพูดว่ารักไม่ยุ่งมุ่งแต่งานค่ะ”
“แต่ ณ จุดนี้การทำงานมันคือสิ่งที่สำคัญ คือทุกคนในตลาดเขากำลังตกงานกันอยู่ คนที่มีงานควรจะจับเอาไว้และทำให้มันดีที่สุด สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราตอนนี้คือฉันต้องอยู่รอดในยุคโควิด เป็นยุคข้าวยากหมากแพง เราก็เอ็นจอยไปเรื่อยๆ ใช่ก็ใช่ไม่ใช่ก็ไม่ใช่”
เข็ดกับความรักครั้งเก่า
“ไม่เข็ดค่ะ แต่มันยังไม่ใช่เวลาที่เรามีเฉยๆ ไม่เคยตั้งใจโสดนะ แค่อะไรที่มันจะเกิดขึ้นกับชีวิตก็ให้มันเกิด คนที่เข้ามาคุยแล้วไม่ใช่ ก็คือไม่ใช่ ถ้าใช่เดี๋ยววันไหนมันก็ใช่เอง แต่วันนี้ไม่มีเลย ทุกวันนี้ไม่เปิดแต่ก็ไม่ได้ปิด(หัวเราะ) เป็นฟิลไม่ใช่ทุกคนจะเข้ามาได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปิดใจ เรียกว่าไม่ได้โฟกัสตรงนี้ และไม่ได้โฟกัสเรื่องไหนที่เด่นๆ จนไม่โฟกัสเรื่องนี้ เหมือนใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิด เรียกว่าปล่อยตามธรรมชาติ”
เป็นฝ่ายจีบเขาก่อน หรือรอให้เขามาคุยก่อน
“สไตล์แพรเห็นว่ามั่นใจอย่างนี้ จริงๆ แล้วเสียทรงเก็บทรงไม่อยู่ ถ้าเจอที่ชอบก็จะเลิ่กลั่ก ถ้าเห็นยืนกับผู้ชายคนไหน แสดงว่าไม่ได้คิดอะไร ถ้าใช่จริงๆจะเสียทรง ซึ่งหาไม่เจอหรอกค่ะ(หัวเราะ) เรื่องจีบผู้ชายเอาไว้สมัยมัธยม เล่าสู่กันฟังนะ ไม่ได้ดราม่าใดๆ พอเห็นข่าวความรักแต่งงาน ก่อนแต่งงานใดๆ เรารู้สึกว่าชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอนเลย ณ ปัจจุบัน หรือว่ามันอาจจะเป็นแบบนี้มานานแล้วก็ไม่แน่ใจ ก็ช่างมันเถอะ”
“ตราบใดที่เรายังมีความสุขอยู่ เพราะเราไม่ได้รู้สึกว่าเราโหยหาหรือเราทุกข์ ถ้าวันไหนที่เรารู้สึกแบบนั้น เราจะออกไปหาแฟน แต่ตอนนี้เรายังมีความสุขที่จะอยู่ตรงนี้ เราไม่ได้รู้สึกว่าไม่มีแฟนแล้วไม่สวยนะ เราสวย มันไม่ได้กดดัน บางวันเราก็เพิ้งบ้าง เรียกว่าเราไม่เคยสูญเสียความมั่นใจเพราะเราไม่มีแฟน แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเราปิดกั้นความรัก เราแค่รู้สึกเรามีความสุขกับตรงนี้ถ้าคนที่จะเข้ามาเขามาเติมสุขให้เรา ถ้าทำได้ในระดับต่ำกว่านั้นเราก็ไม่เอา”
ข่าวรักๆ เลิกๆ ของคนในวงการ มีผลต่อความรู้สึก
“ไม่หรอก แต่เป็นเพราะเราไปปฏิบัติธรรมมา พอมันเห็นตัวอย่างเราก็จะยกเคสง่ายๆ ขึ้นมาไง อยู่ๆ จะมา ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันก็จะงง อายุ 30 แล้ว เคยเจอคนตี๋ ขาว จมูกโด่ง สูง ผอม แล้วมันก็แบบ ทุกอย่างไม่มีอะไรแน่นอน เลยมองว่าสิ่งที่สำคัญจริงๆ คือความสุข”
“ถ้ามีคนที่เอนเนอร์จี้เดียวกัน มาเติมพลังให้กัน เราไม่ได้มองภายนอกแล้ว มันไม่ได้เหมือนในนิยาย ตอนนี้คือความรักก็คือความรัก มันไม่จำกัดอะไรทั้งนั้น ยุคนี้คนก็เปิดรับ มันมีอะไรมากมายให้เราเรียนรู้จริงๆ แก่นของมันคือความรัก ไม่ใช่เรื่องของสเป็ก”
อัลบั้มภาพ 25 ภาพ