เกิดอะไรขึ้น ซิลิกอน แวลลีย์ แบงก์ ธนาคารอันดับ 16 ของสหรัฐ พังยับชั่วข้ามคืน
![เกิดอะไรขึ้น ซิลิกอน แวลลีย์ แบงก์ ธนาคารอันดับ 16 ของสหรัฐ พังยับชั่วข้ามคืน](http://s.isanook.com/ns/0/ud/1759/8799246/svb-failure.jpg?ip/crop/w728h431/q80/jpg)
Silicon Vallley Bank (ซิลิกอน แวลลีย์ แบงก์) ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 16 ของสหรัฐกลับพังยับในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง เกิดอะไรขึ้นกับธนาคารแห่งนี้
สำหรับคนทั่วไป ชื่อของธนาคารแห่งนี้อาจไม่คุ้นหูนัก แต่สำหรับบรรดานักลงทุนจากบริษัทร่วมทุนและสตาร์ตอัปหลายแห่ง ธนาคารแห่งนี้ถือเป็นแหล่งเงินทุนที่สนับสนุนธุรกิจเหล่านี้ ซึ่งพบว่ามีบริษัทร่วมทุนมากกว่า 2,500 ราย และผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีจำนวนมากใช้บริการธนาคารแห่งนี้ โดยเฉพาะในช่วงยุคโควิด-19 ที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีเติบโตอย่างมาก
เงินฝากที่เคยอยู่ที่ 60,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อสิ้นสุดไตรมาสแรกของปี 2563 พุ่งมาอยู่ที่เกือบ 200,000 ล้านดอลลาร์ ในช่วงเดียวกันของปี 2565
เงินเฟ้อฉุดสินทรัพย์ที่ถืออยู่ขาดทุน
ช่วงดังกล่าว เอสวีบี ไฟแนนเชียล ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของซิลิกอน แวลลีย์ แบงก์ กว้านซื้อสินทรัพย์ "ที่ดูเหมือนมั่นคง" มูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่เป็นหลักทรัพย์ระยะยาวที่รัฐบาลสหรัฐค้ำประกัน ทำให้มูลค่าสินทรัพย์ในพอร์ตของเอสวีบีเพิ่มจาก 27,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2563 ทะยานมาอยู่ที่ 128,000 ล้านดอลลาร์เมื่อสิ้นปี 2564
แต่แล้วเมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อ จากการแจกเงินช่วยเหลือช่วงโควิด-19 ต่อเนื่องด้วยสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ธนาคารกลางสหรัฐจึงปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอย่างมาก เพื่อสกัดเงินเฟ้อ มูลค่าสินทรัพย์เหล่านี้ในตลาดเสรีจึงลดลงทันที จนเมื่อปลายปี 2565 ขาดทุนไปมากกว่า 17,000 ล้านดอลลาร์
ลูกค้าสตาร์ตอัปเจอพิษวงการเทคขาลง
เวลาเดียวกันนี้ บรรดาสตาร์ตอัปและบริษัทร่วมทุน ที่ต่างเผชิญชะตากรรมจากการผลาญเงินอย่างหนักและระดมทุนใหม่มาเสริมสภาพคล่องไม่ได้นั้น ก็แห่ถอนเงินออกมาใช้ ทำให้เงินฝากที่มีอยู่เกือบ 200,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อสิ้นเดือน มี.ค. 2565 เหลืออยู่ 173,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อสิ้นปี
แต่ปีนี้ยิ่งหนักกว่า เพราะเมื่อวันที่ 19 ม.ค. ซิลิกอน แวลลีย์ แบงก์ ประเมินว่าปี 2566 นี้ เงินฝากจะลดลงที่ตัวเลขหลักเดียวช่วงกลางๆ ราว 5-6% กลายเป็นว่าเมื่อวันที่ 8 มี.ค. ลดลงไปด้วยเลข 2 หลักแล้ว
NOAH BERGER / AFPแบงก์รัน: ผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งผ่านหน้าสำนักงานใหญ่ธนาคาร Silicon Vallley Bank ในเมืองซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐ
นักลงทุนกังวล แห่ถอนหนี
เมื่อวันพุธ (8 มี.ค.) ซิลิกอน แวลลีย์ แบงก์ จึงประกาศว่าได้ขายสินทรัพย์จำนวนมากออกไป เป็นมูลค่า 21,000 ล้านดอลลาร์ แต่นักลงทุนที่ยังคงกังวลเพราะเห็นท่าไม่ดี จึงเทขายหุ้นอย่างหนัก ส่วนบรรดาบริษัทร่วมทุนที่ฝากเงินไว้ก็ประกาศว่าจะถอนเงินออกจากธนาคารแห่งนี้
เอกสารจากหน่วยงานที่ควบคุมหลักทรัพย์ของรัฐแคลิฟอร์เนีย เผยว่า เมื่อวันพฤหัสบดี (9 มี.ค.) ลูกค้าพยายามถอนเงินฝากออกมา รวมมูลค่าถึง 42,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 1 ใน 4 ของเงินฝากทั้งหมด แต่ธนาคารไม่มีเงินพอจ่าย และที่หนักกว่านั้นคือเงินฝากของบรรดาลูกค้ามีมูลค่ามากเกินกว่าที่รัฐบาลสหรัฐคุ้มครองที่ 250,000 ดอลลาร์
ราคาหุ้นของซิลิกอน แวลลีย์ แบงก์ จึงร่วงลงราว 60% ในวันดังกล่าว
เมื่อวันศุกร์ (10 มี.ค.) บรรษัทประกันเงินฝากส่วนกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานคุ้มครองเงินฝากของรัฐบาลสหรัฐ ประกาศว่าลูกค้าจะเข้าถึงเงินจำนวนที่รัฐบาลคุุ้มครองไม่เกินเช้าวันจันทร์ ส่วนเงินที่เกินความคุ้มครองนั้นจะได้รับเงินปันผลล่วงหน้าไม่เกินสัปดาห์ถัดไป และผู้ฝากจะได้รับใบรับรองผู้ฝากและอาจได้รับเงินปันผลในอนาคตด้วยถ้าสามารถขายสินทรัพย์ของซิลิกอน แวลลีย์ แบงก์
บรรษัทประกันเงินฝากส่วนกลางของสหรัฐ ระบุว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับซิลิกอน แวลลีย์ แบงก์ เป็นเหตุการณ์ธนาคารล้มครั้งใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์สหรัฐ ตามหลังการล้มของธนาคารวอชิงตัน มูชวล เมื่อปี 2551
ลามแบงก์อื่น-คริปโต
การล้มของซิลิกอน แวลลีย์ แบงก์ ยังทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นธนาคารรายอื่นทั่ววงการ โดยเฉพาะรายที่เกี่ยวข้องกับวงการเงินคริปโตและที่ถือพันธบัตรรัฐบาล ทำให้มีการสั่งระงับการซื้อขายหุ้นของธนาคาร First Republic (เฟิสต์ รีพับลิก) และธนาคาร Signature (ซิกเนเจอร์) เมื่อเช้าวันศุกร์ (10 มี.ค.)
ธุรกิจเงินคริปโตที่ฝากเงินกับซิลิกอน แวลลีย์ แบงก์ ก็พลอยโดนผลกระทบไปด้วย หนึ่งในนั้นคือ เซอร์เคิล อินเทอร์เน็น ไฟแนนเชียล จำกัด ที่ฝากเงินที่นี่ 3,300 ล้านดอลลาร์ สกุลเงิน ยูเอสดีซี ที่บริษัทนี้ออกให้ในกระดานค้าคริปโตนั้น ร่วงลงจากราว 1 ดอลลาร์ เหลือไม่ถึง 0.87 ดอลลาร์ เมื่อเช้าวันเสาร์ (11 มี.ค.)
ภาวะนี้เสี่ยงต่อที่เหรียญยูเอสดีซีจะล้มอีกเช่นกันถ้าหากท้ายที่สุดแล้วนักลงทุนเห็นว่าไม่มีทางที่ราคาเหรียญจะกลับไปสู่ระดับเดิมได้ คนกลุ่มนี้จะยอมขายในราคาขาดทุนด้วยเวลาอันเร็วที่สุด เพราะดีกว่าปล่อยเงินทิ้งไว้ให้เสื่อมค่าลงกว่าที่เป็นอยู่