"เบญ เรวิญานันท์" ฮึดสู้ใช้เวลาพิสูจน์ฝีมือ ยกความรัก "อ๊อฟ ชัยนนท์" คนนี้ใช่เลย

"เบญ เรวิญานันท์" ฮึดสู้ใช้เวลาพิสูจน์ฝีมือ ยกความรัก "อ๊อฟ ชัยนนท์" คนนี้ใช่เลย

"เบญ เรวิญานันท์" ฮึดสู้ใช้เวลาพิสูจน์ฝีมือ ยกความรัก "อ๊อฟ ชัยนนท์" คนนี้ใช่เลย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โลดแล่นในวงการบันเทิงมานานกว่า 9 ปีแล้ว สำหรับนักแสดงสาวฝีมือดี เบญ-เรวิญานันท์ ทาเกิด ที่มีผลงานการแสดงมาแล้วหลายเรื่อง แต่เพิ่งมาสร้างชื่อจากละครเรื่อง ใต้หล้า ซึ่งเจ้าตัวยกให้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดง สามารถพิสูจน์ฝีมือตัวเองจนกลายเป็นที่ยอมรับขึ้นมาได้ แถมยังส่งผลให้ได้รับบทบาทที่ท้าทายอย่างต่อเนื่อง ในละครเรื่อง มณีพยาบาท ออกอากาศทางช่องวัน 31 ถือเป็นอีกหนึ่งคาแรคเตอร์ที่นักแสดงสาวออกปาก ต้องเค้นพลังการแสดงออกมาใช้มากที่สุด

เมื่อ sanook.com มีโอกาสได้พูดคุยกับสาว เบญ จึงต้องถามถึงเรื่องผลงานละครล่าสุด และเป้าหมายในการเป็นนักแสดง แม้จะมีช่วงเวลาที่แย่แต่ไม่คิดถอดใจเลิกทำอาชีพที่ตัวเองรัก พร้อมกับเล่าจุดเริ่มต้นความรัก อ๊อฟ ชัยนนท์ หวานใจดีกรีผู้ประกาศข่าวรูปหล่อ รวมทั้งเผยเหตุผลไร้รูปคู่ผ่านโซเชียลเพราะอะไร ไปฟังเบญเล่ากันเลย

“มณีพยาบาท” ใช้ทักษะการแสดงครบถ้วน

“ก็แทบจะเยอะมากค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แบบใช้อินเนอร์ในสายตาเยอะมาก เพราะว่ามันต้องส่งความแค้นตลอดเวลา แล้วสายตาเวลาที่จะฆ่าคนมันต้องโฟกัสให้มันดีๆ มันต้องนิ่งแทบจะห้ามกระพริบตาเลย เหมือนเวลาเราจะฆ่าคนเราต้องจ้อง แล้วห้ามกระพริบตา เวลากระพริบตาผู้กำกับสั่งคัท(หัวเราะ) บอกไม่ได้ แล้วแบบผมหนึ่งเส้นผู้กำกับคัทเอาใหม่ มันเหมือนสมาธิต้องดีค่ะ”

เล่นเป็นผีครั้งแรกต้องใช้พลังเยอะมาก

“ใช่ค่ะ เยอะ ไมเกรนตลอดเวลาเลยตอนนั้นที่เป็น แล้วท่าทางบุคลิกเวลาเราจะยกมือปล่อยพลังแต่ละที มันต้องเกร็งไปหมด เคยมีครั้งนึงตื่นมาแล้วปวดแขนโดยที่ไม่รู้ เหมือนยกแขนไม่ขึ้น แล้วไปทำอะไรมาก็ไม่ได้ไปทำอะไร ปรากฏนั่งนึกๆ ดู อ๋อ เมื่อวานเล่นแล้วก็แบบเหมือนเกร็งมือทั้งวัน จนมันล้า มันเกร็งมือเพราะว่าเวลาเราปล่อยพลัง มันไม่ใช่การยกขึ้นมาเฉยๆ”

“มันเหมือนมีพลัง มันต้องหน่วง เราจะต้านพลังตลอดอะไรอย่างเนี่ยค่ะ เพราะการยกเฉยๆ กับการยกแบบมีพลังมันไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ง่ายๆ เลย มันยากค่ะ แต่ก็สนุกนะเหมือนเราไม่เคยเล่นอะไรแบบนี้ แล้วเราได้รับโอกาสเล่นแบบนี้ เรารู้สึกว่าอยากทำให้มันเต็มที่ บวกกับเราชอบดูพวกอเวนเจอร์ส พวกวันเดอร์วูแมน พวกปล่อยพลังหนูชอบอยู่แล้ว วันนึงเราได้มาเล่นเราก็อยากทำให้มันดี”

เรื่องนี้บทบาทร้ายสุดๆ ไปเลย

“มันไม่ได้ร้ายหรอก แต่หนูว่ามันคือความแค้น มันแค้นหลายคนเนอะ ไหนจะแค้นพระเอกแค้นที่เขาไม่รักเรา แล้วเขาก็เป็นคนที่เอากริชแทงหัวใจเราตายอีก แล้วก็แค้นนางเอกที่สัญญาว่าจะไม่แต่งงานกับพระเอก แต่อยู่ๆ ไปแต่งงาน แล้วก็แค้นคนที่สะกดวิญญาณเราเป็น 100 ปี ไม่ให้เราไปผุดไปเกิด เราก็เลยรู้สึกว่า โอ้โห มันคือความแค้นที่อยู่ในใจเยอะมาก แล้ววันนึงฉันฟื้นคืนชีพขึ้นมา ฉันต้องจัดการกับคนพวกนี้ มันเป็นตัวละครที่มีเหตุและผลนะ”

“ถามว่าเป็นคนที่ร้ายแหละในอดีตอะ พาร์ตที่เป็นคนเป็นคนที่นิสัยไม่ดีเลย เป็นตัวร้ายเลย เป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง อยากเป็นที่หนึ่งตลอดเวลา แต่ด้วยความที่เขารักพระเอกมาก จนเขาเผลอทำในสิ่งที่มันผิด หนูว่าความรักมันสามารถทำได้หลายอย่าง เพราเรารักมากเกินไป มันคือเหตุผลที่เลยเผลอที่จะทำสิ่งไม่ดีไป แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาจะไปแค้นนางเอกโดยที่ไม่มีเหตุผลก็ไม่ใช่ เพราะนางเอกดันเคยไปสัญญากับเราว่า เขาจะไม่แต่งงานกับพระเอกเพื่อเรา แต่ดันไปแต่งงานนี่คือคุณตระบัดสัตย์นะ คือมันมีเหตุและผลในการที่จะทำค่ะ”

ติดคาแร็กเตอร์กลับไปในชีวิตจริง

“มีบ้างค่ะ มีการใช้สายตาเวลาที่ บางทีมุกดาจะชอบใช้สายตาตวัดเวลาสั่ง เวลาฆ่าคนหรืออะไรอย่างเนี่ย เราก็จะชอบติดไปกับเพื่อน เหล่แบบ เพื่อนก็จะมุกดาอีกแล้วนะ(หัวเราะ) บางทีก็จะติดเล่นด้วยไง”

เลิกกองแล้วมีวิธีสลัดคาแร็กออก

“เหมือนพอเรารู้ตัวแล้ว ก็ต้องรู้ว่ามันไม่ใช่ละ เราต้องรู้ก่อนว่าเนี่ยคือไม่ใช่ตัวเรานะ โอเค ต้องหาอะไรรีแลกซ์แล้วละ หนูจะชอบสไลด์ดูติ๊กต็อกอะไรที่มันคลายเครียด หัวเราะ เดี๋ยวกลับมาละ”

ไม่ถึงขั้นจมอยู่กับคาแรคเตอร์จนแพนิคถอนไม่ออก

“มีเป็นแพนิค เคยเป็นค่ะ แต่ตอนนั้นไม่ใช่เรื่องนี้ เมื่อก่อนเราอาจจะเป็นข้อดีที่เคยผ่านการเป็นแพนิคมาแล้ว เรารู้วิธีจัดการกับอารมณ์ตัวเอง มันก็เลยทำให้ตอนนี้พอเราเจอสถานการณ์ที่มันเครียด หรือสถานการณ์ที่กดดัน เราต้องเอาออกมายังไง เรารู้แล้วไง เหมือนมันจัดการได้แล้ว”

ถ่ายละครเสร็จสามารถมูฟออนจากอารมณ์ได้ทันที

“ก็นี่แหละ หนูว่ามันต้องหาวิธีการคลายเครียดนะ สมมติเรารู้ตัวว่าเราเครียดแล้ว เราก็รีบเลย สมมติวันนี้ว่างฉันมุ่งมั่นมากวันนี้ฉันจะไปหาเพื่อน ไปนั่งเม้าท์มอย ฉันจะไปแฮงค์เอาท์ คือเราต้องสลัดเลย ต้องหาวิธรีแบบเนี่ย หนูจะไม่ค่อยอยู่กับตัวเอง ถ้ายิ่งอยู่กับตัวเองคนเดียวมันจะยิ่งจม ต้องหาบรรยากาศฟังเพลงหรือไม่ไปอยู่กับเพื่อน หนูเป็นคนชอบเม้าท์มอยกับเพื่อน เจอเพื่อนก็จะ วันนี้ว่างใช่มั้ย โอเคเข้าไปหาที่คอนโดเลยแล้วก็นั่งเม้าท์ ซื้อของกินมากินกัน”

อันนี้เป็นวิธีที่เราค้นพบกับตัวเอง

“หนูเจอเองค่ะ เพราะว่าแต่ละคนมีวิธีการคลายเครียดไม่เหมือนกัน แต่รู้สึกว่านี่คือวิธีการแบบเวลาหนูอยู่กับเพื่อน หนูมีความสุข หนูไม่ต้องอยู่กับตัวเองและคิดมาก อย่างบางคนเพื่อนหนูก็ชอบอยู่กับตัวเองมากกว่าอยู่กับเพื่อน มันก็แล้วแต่ แต่นี่คือวิธีของหนู”

รับบทร้ายหลายเรื่อง แต่ลุคดูเหมือนนางเอกมากกว่า

“อาจจะด้วยบทที่เรารับ สมัยนี้เขาดูกันที่บทบาทมากกว่ามั้งคะ อย่างบางคนสมัยนี้นางเอกก็มาเล่นร้ายกันเยอะนะ แล้วเรารู้สึกว่าแค่บทนำเราก็พอแล้ว ไม่ว่าจะดีหรือร้ายหนูเล่นได้หมด หนูไม่ได้ยึดติดต้องเป็นนางเอกหรือนางร้าย แต่ขอแค่บทนี้มีอะไรให้เราเล่น และเป็นบทนำเรื่องหนูรับหมด”

ชอบเล่นคาแรคเตอร์นางเอกหรือนางร้าย

“หนูชอบทั้งสองแบบ แต่หนูจะไม่ชอบอย่างนึงคือนางเอกที่แบบ โถ น่าสงสารมากๆ หนูไม่สามารถเป็นได้ นางเอกที่แบบร้องไห้ตลอดเวลา อาจจะด้วยสายตาที่เราเป็นคนสู้คนด้วยมั้ง และเราไม่สามารถที่จะเป็นคนน่าสงสารได้ มันก็เป็นบทที่ท้าทายนะ ถ้าวันนึงเราต้องเล่นอะไรแบบนั้น”

เบญมีส่วนเลือกบทขนาดไหน

“ก็ดูค่ะ สมมติว่าหลังๆ เนอะ พอเราได้รับโอกาสที่มันดี แล้วพอเราทำผลงานออกมาได้ดีแล้ว อย่างเรื่อง ใต้หล้า ถือเป็นประสบการณ์ที่น่าจะประสบความสำเร็จที่สุดแล้วมั้ง ตั้งแต่เคยเล่นละครมา คนรู้จักเยอะมากจากละคร ใต้หล้า แล้วคนก็ยอมรับเราจากฝีมือเรื่องนั้นด้วย ก็เลยทำให้ยิ่งแบบตอนนี้พอจะรับละครเรื่องอะไร เราก็มีการสกรีนบ้าง เราก็ดูว่าเรื่องนี้มันมีอะไรให้เราเล่นบ้าง เล่นแล้วแบบสนุกมากน้อยแค่ไหน เราก็จะเลือกทำในสิ่งที่เรารักและอยากทำค่ะ”

ปีนี้ถือว่าคิวงานแน่นมากกว่าเดิม

"ก็รับละครทีละเรื่องค่ะ อยากทำเรื่องนึงให้มันเต็มที่ที่สุด ถือว่ากราฟชีวิตตอนนี้ก็ดีที่สุดแล้วนะ คือคนรู้จักมากขึ้น เวลาไปไหนมาไหนเขาก็จำเราได้มากขึ้น รู้สึกว่า ณ ปัจจุบันมันก็ดีที่สุดแล้ว แต่ก็อยากให้ดีขึ้นไปอีก อยู่ในงานวงการมา  9 ปีค่ะ ชื่อเสียงก็เพิ่งจะมาเนี่ยแหละ ดีใจ ภูมิใจในตัวเอง"

ต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองกว่าจะมีชื่อเสียง

"ก็ 9-10 ปีนะ ไม่ได้ง่ายๆ กว่าจะมาถึงตอนนี้ได้ เราก็ต้องสู้นะ สู้เกินร้อย มันไม่ได้ยากเลยค่ะ หนูเคยมีงาน และไม่มีงาน จนกลับมามีงานได้รับบทนำอีกครั้ง คือเรารู้สึกว่าชีวิตเรามีกราฟขึ้นๆ ลงๆ ผ่านอะไรมาทุกอย่าง จนเราเริ่มรู้ทุกอย่างแล้ว ว่าจะใช้ชีวิตในวงการบันเทิงยังไง มันก็เริ่มเสถียรมากขึ้นค่ะ เราสามารถทำงานอย่างมีความสุข อย่างเมื่อก่อนเราไม่รู้ว่าจะต้องบาลานซ์ยังไง จนทุกวันนี้รู้ละว่าต้องประมาณไหน แล้วทำงานยังไงให้มีความสุข มันต้องไปควบคู่กันค่ะ เพราะเป็นอาชีพที่เรารัก"

มีประสบการณ์ทำงานมานานแต่ไม่เคยอิ่มตัว

"ไม่ หนูพยายามเป็นน้ำไม่เต็มแก้วค่ะ เราก็จะพยายามเรียนรู้ พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ หนูไม่เคยหยุดที่จะเรียน ทุกวันนี้ก็ยังเรียนแอคติ้ง ถึงแม้ว่าเรื่องนี้คนจะชอบมาก แต่เราก็จะเรียนให้มันดีกว่านี้ ไม่ได้กดดันตัวเองนะ แค่อยากพัฒนาตัวเอง"

ไม่เคยท้อพร้อมพิสูจน์ตัวเองเสมอ

"หนูไม่เคยคิดว่าจะไม่เอา หนูคิดแค่ว่าจะเอาและหนูจะสู้ เคยตอนไม่มีงานค่ะ ตอนนั้นท้อเป็นปีเลยค่ะ ยังไม่ได้ละครยาว ได้แต่รับเชิญเล็กๆ น้อยๆ ท้อ จนแม่ถามกลับบ้านมั้ย เราบอกไม่ หนูจะสู้ค่ะ เลือกแล้ว รักอาชีพนี้ อยากทำ"

อยากสู้ต่อทำตามฝันกับอาชีพที่รัก

“หลังละคร พิษวาท ผู้ใหญ่เขาก็บอกว่าเราเล่นไม่ได้ เล่นไม่ดี ก็เลยคิดว่าเราเล่นไม่ดี เราก็มองด้วยว่าตอนนั้นเรายังไม่ได้เต็มที่จริงๆ ยอมรับค่ะ ถ้ามีโอกาสอีกสักครั้ง เราก็จะฮึดสู้อีกครั้งค่ะ ด้วยอะไรหลายๆ อย่างค่ะ ตอนที่กลับมาเล่นอีกทีเป็นตัวสาม ก็มีคนพูดจากนางเอกมาเป็นตัวสาม มาเล่นเป็นตัวรองขนาดนี้เลยเหรอ พอเริ่มมีคนพูดมันก็จี้จุด เราก็พยายามทำให้ผู้ใหญ่เห็น เดี๋ยวเขาก็จะรู้เองว่าเรามีความสามารถ พูดแบบปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไร”

“ตอนนี้ก็ภูมิใจ ฟีดแบ็กของผู้ใหญ่ดีขึ้น เวลาเจอเขาก็จะชมว่าเล่นได้แล้วนะ เอาตัวรอดแล้วนะ อยากจะขอบคุณ ถ้าเราไม่มีแรงกดดัน มันก็ไม่ทำให้เราสู้นะ บางทีชีวิตเราถ้ามันราบรื่นมากเกินไป มันไม่เจออะไรที่เป็นจุดจี้ จุดกระตุ้น มันก็จะไม่ทำให้เราฮึดสู้ เหมือนหนูแค่มองย้อนกลับไปว่า ทุกๆ ประสบการณ์มันทำให้เราโตขึ้น แล้วเราเรียนรู้จากสิ่งที่เราเจอได้ พยายามคิดบวก ไม่อยากคิดให้ท้อไปเรื่อยๆ ไม่ว่าอาชีพไหนถ้าเราสู้กับมัน ต้องมีวันที่ประสบความสำเร็จ มันไม่มีงานไหนที่ทำไปแล้วไม่มีใครเห็น คือมันต้องมีคนเห็นสิ”

หากำลังใจจากไหนให้ตัวเอง

 “จากคนรอบข้าง และจากตัวเราเองสำคัญที่สุด เราอยู่กับตัวเองเวลาส่องกระจก ก็จะเห็นว่าวันนี้อ้วนนะ เล่นไม่ดีนะ บอกตัวเองสิ ว่าต้องเปลี่ยนตัวเอง ต้องทำตัวเองให้ดีขึ้น สภาพแบบนี้ใครจะเอาไปเล่นละคร ก็ต้องคุยกับตัวเองผ่านกระจก อย่างเบญโชคดีที่มีกำลังใจจากครอบครัว พ่อแม่จะให้กำลังใจ แล้วจะคอยซัพพอร์ตดีมาก”

“คือพื้นฐานครอบครัวเราค่อนข้างที่จะมี สมมติไม่มีเงิน พ่อแม่จะคอยซัพพอร์ตอยู่แล้ว แต่เราต่างหากที่เป็นคนดี เกรงใจที่จะขอเงินเขา ไม่อยากขอเงินเขา เพราะรู้สึกเราโตแล้ว ทำไมต้องกลับไปขอเงินพ่อแม่ เลยคิดว่าต้องดูแลตัวเองให้ได้มากกว่า ก็มีช่วงที่กลับไปขอยืมเงินแม่ ทุกวันนี้ยังไม่คืน”

วางเป้าหมายการเป็นนักแสดง

ฝันมาตั้งแต่เด็ก จนมีโอกาสได้มาเป็นนักแสดงเรื่องแรก สงครามนางงาม ก็รู้สึกว่านี่แหละเป็นอาชีพที่ฉันรัก และฉันเลือกมันแล้ว จะทำมันออกมาให้ดีที่สุด คือยิ่งเล่นยิ่งสนุก ทุกวันนี้เป้าหมายคือจะเล่นไปจนกว่าจะแก่ ถามว่าฝันสักวันหนึ่งต้องได้สักรางวัลด้านการแสดง ฝันตลอด อยากได้สักรางวัลนึง มันอาจจะเป็นความภูมิใจของตัวเอง ว่าสิ่งที่เราสู้มาทั้งหมดทั้งมวลนั้นมันสำเร็จแล้วนะ”

หลงรักอะไรในอาชีพนี้

“มันเป็นอาชีพที่เราไม่ได้แสดงเป็นตัวเราเอง เราได้ไปเล่นเป็นคนอื่นมันสนุกดี หนูว่าเราไม่เคยได้เล่นอะไรแบบนี้ แล้วอยู่ๆ เราได้ไปเล่นเป็นตัวละครที่ร้ายมากๆ แล้วในชีวิตจริง เราไม่ได้ร้ายขนาดนั้น มันเหมือนเราได้ไปท่องเที่ยวในโลกของตัวละครต่างๆ ที่เราไม่เคยเป็น สนุกค่ะ เป็นประสบการณ์ใหม่ที่เราได้ข้อคิด ว่าทำไมตัวละครตัวนี้คิดแบบนี้ ให้แง่คิดเราได้หลายเรื่องด้วย”

ความรัก “อ๊อฟ ชัยนนท์” ดีกรีผู้ประกาศข่าว

 “ดีค่ะ ถือเป็นความสัมพันธ์ที่โต น่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่โตที่สุดเท่าที่หนูเคยคบมาแล้วค่ะ คือเป็นผู้ใหญ่จริงๆ ไม่เคยทะเลาะกันเลยตั้งแต่คุยกันมา มันเหมือนเข้าใจกันหมด มันมีเล็กน้อยที่มีปัญหาปรับจูนกัน แต่มันทำให้ความสัมพันธ์ก็ราบรื่นไปได้ด้วยดี เราก็โอเค ไม่เคยถึงขั้นทะเลาะ แตกหัก”

ย้อนจุดเริ่มต้นความรัก

“เขาดูเป็นคนดีอ่ะ เขาเป็นผู้ชายที่ดี แล้วก็มีแพชชั่นเป็นของตัวเอง รักครอบครัว ตอนนี้ชนะใจทุกข้อ เขาเป็นคนที่พูดแล้วมีเสน่ห์ เขาพูดเก่งค่ะ เวลาพูดแล้วน่าฟังเราก็เริ่มเคลิ้ม ครั้งแรกยังไม่ค่อยเท่าไหร่ไง พอเจอกันสักพักก็เริ่ม(ยิ้ม) คือเขาเป็นคนบุคลิกดี พูดจาดี บวกกับเขาทำงานตลอดเวลา แล้วเราก็ทำงานด้วย ละมันน้อยคนมากๆ ที่เราจะเจอคนที่เข้าใจงานที่เราทำ ซึ่งเขาเป็นคนที่เข้าใจเรา”

ช่วงจีบกันแรกๆ เจอกันบ่อยขนาดไหน

“ช่วงแรกน้อยมาก เคยมีแบบหายๆ ไปด้วยนะ ก็ช่วงเริ่มถ่ายละครเรื่อง มณีพยาบาท แหละ ทั้งเขาและเรางานหนัก แต่เขาเป็นคนบ้างานมาก ก่อนที่เขาจะมาเจอหนู เขาโสดนานมากนะ โสดเกือบ 2 ปี เราก็ถามไม่คุยกับใครบ้างเหรอ เขาบอกไม่อยากมีแฟนด้วย แต่งงเหมือนกันมาจีบเรา”

ดวงคนจะมีแฟน ความโสดดึงดูดเข้าหากัน

“คือเรารู้จักกันมาเป็น 10 ปีแล้ว ตั้งแต่ละครเรื่อง สงครามนางงาม เขาเป็นพิธีกรช่องวัน ตอนนั้นเขายังทำงานบันเทิงอยู่เลย แล้วเราก็รู้จักเขามาตั้งนานแล้วในรายการ เพราะมีคนชอบแซวว่าพี่อ๊อฟชอบเรา เรารู้ตั้งแต่ตอนนั้นนานมาก แต่เราไม่เคยยุ่งเกี่ยวกัน จนอยู่ๆ โสดพอดีเขาก็ทักมาพอดี แล้วก็มีคนทักมาประปรายนะ แต่เราก็จะรู้ว่าคนนี้ชอบ คือมันก็จะมีเซนส์ไง”

“คนที่ทักมามันไม่ปกติหรอก ผู้ชายทักหาเราเนอะ บางทีเขาชวนคุยร้านอะไร เขาก็พยายามแย็บมาตลอด แต่ตอนนั้นเราไม่เคยสนใจ เพราะเราก็มีแฟนด้วย ช่วงนี้โสดก็เลยลองดู ก็เปิดใจไปกินข้าวกับเขาดู เพราะเขาชวนไปกินข้าวไง ตอนแรกยังไม่ได้บอกจีบนะ ถามว่าเขาเฝ้าติดตามเราตลอดหรือเปล่า ไม่รู้เลยต้องถามเขา แต่เขาน่าจะส่องสตอรี่หนูว่า”

แม้เป็นผู้ชายจริงจังกับงาน แต่เวลาคุยกันมีมุมสบายๆ

“ตอนอยู่กับเบญ หนูว่าเขาไม่เหมือนกับบุคลิกที่เขาอ่านข่าวเลย เป็นคนละคนเลยค่ะ ตอนอ่านข่าวบางทีหนูยังรู้สึกว่าเก๊กป่ะเนี่ย ทำไมดูสุขุม เพราะน้ำเสียงเขาก็ต้องปรับเพื่อให้เป็นผู้ประกาศข่าว แต่น้ำเสียงที่เขาคุยกับเรามันไม่เหมือนกันเลย แต่ก็เป็นเสียงปกติเขาแหละ ดีแล้วที่ไม่ได้เอาวิญญาณผู้ประกาศข่าวมาคุยกับเรา ดีแล้วค่ะ”

“คือเขาเป็นเพอร์เฟกชั่นนิสต์ค่ะ ถ้าทำอะไรไม่ถูกใจเขาจะหงุดหงิดมากกับลูกน้อง แต่เราก็จะคอยบอกว่ามันไม่มีใครเพอร์เฟกต์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราก็คอยเตือนเขาบ้างค่ะ เหมือนเขาเป็นคนเครียด ถ้าอะไรไม่ถูกใจนิดนึง เราก็ต้องบอกใจเย็นๆ มันมีวิธีแก้ไข เราต้องเป็นน้ำให้เขาคอยดับไฟค่ะ"

ที่ผ่านมาต้องปรับจูนกันขนาดไหน

 “หนูไม่ค่อยปรับนะคะ คนนี้เป็นคนที่หนูปรับน้อยที่สุด มันเป็นอัตโนมัติเพราะเราเป็นผู้ใหญ่ อย่างที่บอกมันเหมือนผู้ใหญ่คุยกัน การทะเลาะน้อยมากเพราะว่ามันเสียเอ็นเนอร์จี้ ทำงานก็เหนื่อยแล้ว จะมานั่งทะเลาะกันอีกทำไม บางทีอะไรไม่พอใจก็ปล่อยผ่านไปบ้างเถอะ ถามว่าเคยมีเรื่องให้ตีกันมั้ย ไม่เคย น้อยมาก มีแต่เรื่องเวลา มีบ้างคือเขาไม่ค่อยมีเวลา แบบเขาทำงานเยอะไป คิดดู 6 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม ไม่พอ เสาร์-อาทิตย์ก็ยังทำอีก มันไม่มีวันไหนที่หยุด 1 วันเต็มๆ เลย”

งานแน่นทั้งคู่หาเวลาเจอกันยาก

“น้อยมาก ก็จะมีปัญหาช่วงที่เราว่าง ตอนเราว่างเราก็อยากจะเจอบ้างอะเนอะ หลังๆ เขาก็จะปรับ เขาก็จะรู้ว่าการที่ทำงานเยอะไปมันก็ไม่ดีเหมือนกัน สุขภาพเขาที่ไม่ได้ออกกำลังกายเลย ไม่ได้ดูแลตัวเองเลย ทางครอบครัวเขาก็จะบอกว่าอย่ารับงานเยอะเกินไป หลังๆ เขาก็รู้ตัว เริ่มลดงานลง เพื่อตัวเขาเอง หนูก็จะบอกเขาไม่ต้องทำเพื่อเบญ แต่ทำเพื่อตัวเองเถอะ คือหาเงินมาแทบตาย ถ้าไม่ได้ใช้ทำไงอะ”

ไร้ลงรูปคู่ ไม่อยากให้โฟกัสเรื่องความรัก

“เราไม่ค่อยอยากให้คนมาโฟกัสเราด้านนี้เหมือนกันค่ะ ด้วยอาชีพเรา แล้วก็อยากให้พื้นที่ส่วนตัวกับพี่เขาด้วย บางทีพี่เขาไม่ใช่นักแสดง เขาเป็นผู้ประกาศข่าว เราไม่อยากให้คนไปโฟกัสกับเขามากเกินไป แต่เราก็ไม่ปิดกั้นนะ เรารู้สึกอยากทำให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด อย่างเวลาที่เราจะไปไหน ลงสตอรี่ เราก็ลง ไม่ได้ปิดบังอะไรเลย รูปคู่มีบ้าง ไม่ได้เยอะ แต่ก็ไม่ได้ลง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องงานค่ะ”

รักลงตัวคนนี้ใช่เลย

 “ณ ตอนนี้ใช่ค่ะ ความรักครั้งนี้ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย แค่ ณ ตอนนี้ทำให้มันดีที่สุดก็พอ ปัจจุบันคือโอเคมากค่ะ ก็อยากให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ถามว่าคุณแม่ดีใจมั้ยลูกสาวมีแฟนแล้ว ไม่เคยถามแม่ แต่เขาก็จะดู หนูว่าเขาก็ต้องเห็นสื่อโซเชียลสมัยนี้ แม่ส่องอยู่ล่ะ”

อัลบั้มภาพ 31 ภาพ

อัลบั้มภาพ 31 ภาพ ของ "เบญ เรวิญานันท์" ฮึดสู้ใช้เวลาพิสูจน์ฝีมือ ยกความรัก "อ๊อฟ ชัยนนท์" คนนี้ใช่เลย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook