"พิธา" ชัดไม่ร่วม รบ. กับ 3 ป. ย้อน "ประวิตร" จะก้าวข้ามความขัดแย้ง ทั้งที่ตัวเองเป็นต้นตอ
"พิธา" ชัดปิดประตูไม่ร่วม รบ. กับ 3 ป. แม้ส่งคนมาเจรจา ย้อน "ประวิตร" เป็นไปไม่ได้ จะก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะตัวเองเป็นต้นตอ ชี้ประเทศไม่ง่ายแค่ตั้งกรรมการก็ไม่จบ
ที่โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ต นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ระบุว่าสามารถร่วมรัฐบาลกับทุกพรรคการเมือง รวมทั้งพรรคก้าวไกลแบบมีเงื่อนไข ว่า เราไม่มีเจตจำนงในการร่วมพรรคทหารจำแลงอย่างรวมไทยสร้างชาติและพลังประชารัฐ เพราะถือว่าเป็นคนทำรัฐประหารสืบทอดอำนาจ และตอนนี้ยังรักษาอำนาจต่อจึงเป็นไปไม่ได้ แม้พรรคพลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติจะส่งคนมาเจรจาก็ตาม
ไม่มี และไม่มีวันที่จะได้คุยกัน ปิดประตูแน่นอน เพราะเราตั้งพรรคมาเพื่อปิดสวิตซ์ 3 ป. และเปิดแสงสว่างให้กับประเทศไทย เลิกแช่แข็งประเทศไทยให้ไปสู่อนาคต เขาเป็นคนที่มีส่วนร่วมทางด้านตรงนี้ เราต้องแก้ไขทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าหากพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล จะทำประโยชน์ให้กับประชาชนได้มากกว่า ดังนั้นพรรคจะหาเสียงให้เต็มที่ และหากทำได้ถึงเป้าหมาย ก็มั่นใจว่าจะน้ำหนักทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล
ส่วนกรณีที่คนที่เคยเป็นแกนนำอยู่พรรคพลังประชารัฐ ย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อไทย ในฐานะพันธมิตรกับเพื่อไทยสามารถร่วมงานกันได้หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เราไม่ได้ให้ความสนใจ และกระบวนการทำงานของพรรคก้าวไกลและเพื่อไทยก็แตกต่างกัน แต่ก็ยังคิดว่านโยบายและจุดยืนของพรรคเพื่อไทย จนมาถึงวันนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรที่จะร่วมงานกันได้ โดยกรณีดังกล่าว เป็นเรื่องภายในของกลุ่มสามมิตรและพรรคเพื่อไทย ตนขอโฟกัสเฉพาะในเรื่องของพรรคก้าวไกล
ส่วนสามารถทำงานร่วมกับ รัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีชุดนี้ได้หรือไม่ นายพิธา ระบุว่า ต้องแยกเป็นคนๆไป แต่หากใครที่มาจากพรรคทหารจำแลง ก็น่าจะทำงานด้วยกันยาก สิ่งสำคัญที่สุดคือการมองไปข้างหน้าว่านโยบายและจุดยืนของความเป็นประชาธิปไตยว่าเข้มแข็งมากแค่ไหน
ส่วนที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เปิดใจผ่านจดหมายเปิดผนึก อาสามาโซ่ข้อกลางในการก้าวข้ามความขัดแย้ง นายพิธา กล่าวว่า เราไม่สามารถก้าวข้ามความขัดแย้งที่ตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้อง และย้ำว่าการก้าวข้ามความขัดแย้งและจะมีความปรองดองได้ ต้องมีระบบความยุติธรรม มีการเสาะหาข้อเท็จจริง และต้องทำให้วัฒนธรรมคนผิดลอยนวลหมดไปก่อน จึงจะทำให้เกิดความปรองดองที่แท้จริง
ส่วนจดหมายที่ พล.อ.ประวิตร เขียนไม่ว่าจะเกี่ยวกับเรื่องการตั้งคณะกรรมการมากรองนโยบาย ก็ต้องเรียนว่านโยบายของตนเองในพรรคพลังประชารัฐ ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ยังทำไม่ได้หลายเรื่อง รวมถึงนโยบายที่สัญญากับประชาชนเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ก็ยังทำไม่สำเร็จ ซึ่งการที่จะทำนโยบายใดนโยบายหนึ่งจะต้องมีกระบวนการ ลงพื้นที่ฟังปัญหากับประชาชนว่าปัญหาอยู่ที่ไหน แล้วค่อยนำมาปฏิบัติ ดังนั้นคนที่จะนำเอานโยบายของแต่ละพรรคมาปฏิบัติได้จริง ต้องเป็นคนที่คลุกคลีกับประชาชน ไม่ใช่แค่ตั้งกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง แล้วจะแก้ปัญหาให้กับประชาชนได้ในประเทศไทย
หากต้องการความปรองดองก็ต้องตั้งคณะกรรมการปรองดอง ถ้าอยากจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายก็ตั้งคณะกรรมการ แต่ประเทศไทยไม่ได้ขับเคลื่อนนโยบายง่ายขนาดนั้น