ครูโทรแจ้งลูกชายแอบดู "หนังโป๊" แม่โมโหรีบไปหาถึงที่ แต่พอฟังเหตุผลแล้วร้องไห้เลย
แม่เลี้ยงเดี่ยวโมโห ครูโทรแจ้งลูกชายแอบดู "หนังโป๊" ที่โรงเรียน รีบตีตั๋วรถกลับบ้านทันที แต่พอฟังลูกสารภาพกลายเป็นน้ำตาไหล
เมื่อลูกก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น พ่อแม่บางคนอาจจะยังไม่อยู่ในสถานะ "พร้อมที่จะรับมือ" กับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจของลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยการพัฒนาอย่างรวดเร็วของอินเทอร์น็ตในปัจจุบัน การควบคุมการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ของเด็กจึงเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง แม้พ่อแม่หลายคนแม้จะพยายาม "รัดเข็มขัด" ลูกแล้ว ก็ยังไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น
เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองหางโจว ประเทศจีน แม้ว่าจะยังคงมีกฎไม่อนุญาตให้นักเรียนนำโทรศัพท์มือถือมาเข้าเรียน อย่างไรก็ตาม ด.ช.เอ นักเรียนชายเกรด 7 หรือเทียบเท่ากับมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถูกครูประจำชั้นจับได้ว่าแอบเล่นเกมทางโทรศัพท์ระหว่างเรียน โดยครูได้ยึดโทรศัพท์ของเขาไว้ จากนั้นจึงแจ้งให้ผู้ปกครองทราบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เวลานี้แม่ของ ด.ช.เอ รู้สึกมึนงงเพราะโทศัพท์เครื่องเก่าของลูกชายพังไปแล้ว และเธอยังไม่ได้ซื้อเครื่องใหม่ให้ แต่ตอนนี้ครูกลับแจ้งว่าโทรศัพท์เพิ่งถูกยึดไป ในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องหาเลี้ยงลู เธอต้องย้ายไปทำงานไกลบ้าน จึงจำเป็นต้องส่งลูกๆ ไปอยู่กับยาย และไม่สามารถกลับบ้านมาคุยกับลูกชายได้บ่อยนัก
แต่เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นเพียงไม่นานครูก็โทรมาแจ้งอีกครั้งว่า ยึดโทรศัพท์ได้อีกเครื่องหนึ่ง และจากการตรวจโทรศัพท์ที่ยึดมาได้นี้ ครูพบว่า ด.ช.เอ แอบดู "หนังฮอต" เมื่อได้ฟังเรื่องราวที่ไม่คาดคิด แม่จึงรีบจองตั๋วรถกลับบ้านเกิดทันที และต้องแปลกใจเมื่อกลับมาถึงบ้านและพบว่า ลูกชายของเธอกำลังเล่นโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องใหม่ โดยกล่องใส่โทรศัพท์ยังวางอยู่ข้างๆ
เมื่อเห็นดังนั้นแม่ก็โกรธมากรีบคว้าโทรศัพท์ของลูกชาย แล้วตะโกนเสียงดังว่า "โทรศัพท์นี้มาจากไหน? แล้วโทรศัพท์สองเครื่องที่ครูยึดไปเอามาจากไหน? ลูกคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีโทรศัพท์ใช่ไหม" ในตอนนั้นลูกชายทั้งประหลาดใจและหวาดกลัว เขาตอบแม่ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า "ผมเสียใจมากที่ต้องอยู่บ้านกับยาย นอกจากไปโรงเรียนแล้ว แม่ยังโทรหานับครั้งได้ พูดสองสามคำ แล้วก็วางสายไป ดังนั้นผมจึงมีโทรศัพท์เป็นเพื่อนเท่านั้น" เมื่อได้ยินลูกชายพูดเช่นนั้น แม่ก็ทรุดตัวลงนั่งร้องไห้อย่างขมขื่น
ในตอนบ่าย เธอไปที่บ้านครูของเธอเพื่อขอโทรศัพท์อีกสองเครื่องคืน จากนั้นจึงลองเข้าเช็กประวัติการค้นหาในโทรศัพท์ เพื่อดูว่าลูกชายใช้โทรศัพท์ทำอะไรบ้าง และดูจากคำค้นหาใน google และ youtube เธอก็ต้องตกใจมาก เพราะพบว่ามีแทบทุกคำที่เกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์ กลายเป็นว่าลูกของเธอเข้าสู่วัยแรกรุ่นแล้ว และคนเป็นแม่อย่างเธอก็ยังไม่ได้สอนเรื่องเพศให้ลูกชายเลย
ตั้งแต่วันนั้นแม่ก็ตัดสินใจขอย้ายงานไปยังบริษัทใกล้บ้าน แม้ว่าเงินเดือนของเธอจะน้อยกว่าแต่เดิมมาก แต่ก็มีเวลาดูแลลูกชายตัวน้อยมากขึ้น นอกจากเวลาที่ลูกไปโรงเรียน เธอมักจะพาลูกไปเล่นกีฬาที่เขาชอบ อีกทั้งในทุกคืนยังมีเวลา "เล่าสู่กันฟัง" ในเรื่องที่พบเจอมาในแต่ละวัน นอกจากนี้ เธอยังซื้อหนังสือเกี่ยวกับเพศศึกษาให้กับลูก และพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า "ไม่มีอะไรผิดหรือน่าอายเกี่ยวกับการเรียนรู้เรื่องความรักและเรื่องเพศ ดังนั้นหากลูกมีคำถามใดๆ ก็ถามได้เลย แม่จะพยายามตอบคำถามทุกข้อ เพราะแม่รู้ว่าลูกชายของแม่นโตแล้ว" ลูกชายหน้าแดงเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่ก็ยังพยักหน้าเห็นด้วยกับแม่
ทั้งนี้ เมื่อพูดถึงเรื่องเพศศึกษาสำหรับลูกๆ พ่อแม่หลายคนที่ไม่กล้าพูดอะไรสักคำเพราะเขินอาย ด้วยเหตุนี้เด็กจึงไม่กล้าพูดแม้บางครั้งจะอยากถาม เพราะไม่รู้ว่าจะถูกพ่อแม่ดุหรือไม่ โดยมีผู้เชียวชาญกล่าวว่า เพศศึกษาสำหรับวัยรุ่นอาจดูไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน แต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะนับเป็น "เวลาทอง" สำหรับรสนิยมทางเพศของเด็ก ช่วยให้พวกเขาเข้าใจถึงการเคารพร่างกายและการป้องกันตนเอง ตลอดจนช่วยให้พวกเขาเลือกพฤติกรรมที่เหมาะสมในทุกสถานการณ์