ปิยบุตร บุกรับทราบข้อหา ม.116 เชื่อหมายเรียกออกช่วงหาเสียงเลือกตั้งแค่บังเอิญ
![ปิยบุตร บุกรับทราบข้อหา ม.116 เชื่อหมายเรียกออกช่วงหาเสียงเลือกตั้งแค่บังเอิญ](http://s.isanook.com/ns/0/ud/1764/8822346/piyabutr-116.jpg?ip/crop/w1200h700/q80/jpg)
นายปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล พร้อมทนายความ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาล (สน.) นางเลิ้ง เมื่อวันจันทร์ (17 เม.ย.) เพื่อรับทราบข้อหาฐานยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ตามมาตรา 116 ตามที่นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน มาร้องทุกข์กล่าวโทษไว้เมื่อปี 2564 โดยยังไม่มีการเปิดเผยพฤติการณ์ว่าเป็นการกระทำความผิดในลักษณะใด
นายปิยบุตรให้สัมภาษณ์ก่อนการเข้าพบพนักงานสอบสวนว่า ไม่เคยทราบเรื่องดังกล่าวมาก่อน จนกระทั่งกลับจากไปหาเสียงที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็พบว่ามีหมายเรียกส่งมาที่บ้าน นำส่งเมื่อวันที่ 7 มี.ค. เป็นคดีที่แจ้งความร้องทุกข์ไว้ 2 ปีแล้ว โดยตนเองก็ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องใด แต่เนื่องจากขณะนี้อยู่ระหว่างการหาเสียง จึงได้ขอเลื่อนพนักงานสอบสวนไปช่วงหลังหาเสียง แต่พนักงานสอบสวนปฏิเสธ โดยอ้างว่าผู้หาเสียงในแต่ละพรรคมีทีมงานหลายคน การที่ตนเองจะมาพบพนักงานสอบสวนคงไม่กระทบต่อการหาเสียงของพรรค ทำให้ตนเองต้องเลื่อนกำหนดการหาเสียงในต่างจังหวัดออกไปเพื่อเข้าพบพนักงานสอบสวนในวันนี้
นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า ตนเองไม่อยากมองว่าการที่พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกตนเองมาแจ้งข้อหาหลังผ่านมา 2 ปี มีนัยยะทางการเมืองหรือไม่ คงเป็นเหตุบังเอิญที่มาออกหมายเรียกช่วงที่ตนเองช่วยพรรคก้าวไกลหาเสียงพอดี แต่มองในแง่ดีคือพนักงานสอบสวนใช้ดุลพินิจอย่างเต็มที่ถึง 2 ปีเพื่อพิจารณาการออกหมายเรียกของตนเอง ดังนั้นตนเองก็จะรอดูว่าหลังพนักงานสอบสวนใช้ดุลพินิจอย่างเต็มที่แล้ว จะมีข้อความใดเข้าข่ายยุยงปลุกปั่น และหากคดีถูกยกฟ้องในชั้นอัยการและศาล ก็แสดงว่าการใช้ดุลพินิจของพนักงานสอบสวนไม่ถูกต้อง ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมาพบว่าหลายคดีที่ฟ้องในมาตรา 116 ล้วนแล้วแต่ถูกยกฟ้องทั้งสิ้น ตนเองจึงอยากเรียกร้องให้พนักงานสอบสวนนึกถึงตอนที่เรียนนิติศาสตร์ว่าหากมีกรณีแบบตนเอง จะเข้าข่ายความผิดหรือไม่ ซึ่งหลายคนก็คงมองออกว่าไม่ได้เข้าข่ายความผิด แต่เหตุใดเมื่อมาเป็นพนักงานสอบสวนถึงได้ออกหมายเรียกคดีนี้อย่างต่อเนื่อง จึงขอให้พนักงานสอบสวนมีดุลพินิจ ไม่ใช่ใครมาร้องทุกข์ก็ออกหมายเรียกผู้ถูกร้องมาแจ้งข้อกล่าวหาทุกกรณี
ส่วนเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่าตำรวจมีใบสั่งมาหรือไม่ นายปิยบุตรเปิดเผยว่าไม่อยากมองเช่นนั้น ตนเองก็เคารพพนักงานสอบสวน และพนักงานสอบสวนก็คงปฏิบัติหน้าที่ ส่วนจะมีการฟ้องกลับกลับนายณฐพรหรือไม่ ตนเองไม่อยากจะฟ้องใคร โดยเฉพาะข้อหาหมิ่นประมาท แต่หากเป็นข้อหาแจ้งความเท็จ ก็จะขอพิจารณาดูก่อน พร้อมทั้งยืนยันว่าตนเองก็เรียนกฎหมายมา มีความระมัดระวังในการแสดงความคิดเห็นเสมอ และมั่นใจว่าทุกข้อความที่ตนเองพูดไม่เข้าข่ายข้อหายุยงปลุกปั่นแน่นอน แต่ต้องขอดูรายละเอียดที่นายณฐพรแจ้งความไว้ก่อน
นายปิยบุตร บอกอีกว่า กฎหมายมาตรา 116 มีขอบข่ายที่กว้างมาก ทั้งที่เป็นข้อหาร้ายแรงเกี่ยวกับความมั่นคง ทำให้เป็นช่องโหว่ให้นักร้องเรียนนำมาใช้ ทำราวกับว่าพลเมืองไทยมีปัญหากับรัฐไทยมาขนาดนี้หรือ ถึงร้องเรียนได้มากมายขนาดนี้ แสดงว่าตัวกฎหมายต้องมีปัญหา และการใช้กฎหมายนี้ก็มีปัญหา ทางพรรคก้าวไกลก็เสนอให้มีการแก้กฎหมายนี้มาโดยตลอด
ภายหลังจากนายปิยบุตรเข้ารับทราบข้อกล่าวหานานกว่า 1 ชั่วโมง ก็ออกมาให้สัมพาษณ์ถึงรายละเอียดในคดีว่า เป็นการแจ้งความตนในฐานความผิดอาญา มาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่น จากการพูดแสดงความคิดเห็นผ่านแอปพลิเคชันคลับเฮาส์ ที่จัดร่วมกับแอมมี่ เดอะ บอตทอมบลูส์ ที่มีการยกตัวอย่างกรณีที่ศาลยกฟ้องมาตรา 112 จากกรณีที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำการหมิ่นพระบรมฉายาลักษณ์ ยืนยันว่าการกระทำดังกล่าวเป็นเพียงการยกตัวอย่างตามข้อเท็จจริง ซึ่งคล้ายกับการยกกรณีตัวอย่างคดีต่างๆ ในการสอนวิชากฎหมาย ไม่ใช่การยุยงปลุกปั่นให้คนออกมาต่อสู้อย่างที่นางณฐพรกล่าวหาแต่อย่างใด
นายปิยบุตร พูดต่อไปว่า เหตุดังกล่าวตนจึงให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และหลังจากนี้จะรวบรวมพยานหลักฐานทั้งเอกสารและบุคคลมาใช้ในการต่อสู้คดีต่อไป โดยมีสิทธิให้ชี้แจงภายในระยะเวลา 30 วัน