หมอเล่าเคสบีบหัวใจ ส่งเด็กป่วยมะเร็งกลับบ้าน 400 กม. เศร้าฝันสุดท้ายไม่ถึงปลายทาง
วันที่ 20 เมษายน 2566 เพจเฟซบุ๊ก หมอคนสุดท้าย โพสต์เรื่องราวสสะเทือนใจโลกออนไลน์ เมื่อคนไข้ป่วยมะเร็งวัย 15 ปี อ้อนวอนขอให้ช่วยทำตามความปรารถนาสุดท้าย อยากกลับไปอยู่บ้านและได้บอกลาทุกคนที่รัก หมอจึงพยายามประสานจนสามารถพาเดินทางได้ แต่สุดท้ายโชคร้ายที่ไปไม่ถึงบ้านตามคำขอสุดท้าย โดยผู้โพสต์เล่าว่า
สวัสดีครับห่างหายกันไปสักพักเลย…ช่วงนี้ผมยุ่ง ๆ กับหลายอย่างในชีวิต ผมมีสิ่งที่อยากทำที่กำลังทำ ที่ไม่อยากทำ ที่ต้องทำ หรือบางอย่างที่ต้องฝืนใจทำอยู่เหมือนกัน ในแต่ละวันมีเรื่องราวเข้ามามากมายจนบางทีก็ลืมดูแล(ใจ) ตัวเองไปเหมือนกัน
วันหยุดยาวสงกรานต์ที่ผ่านมา หลายคนได้หยุดพักหลายคนก็ยังทำงาน และใช่ครับ ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่อยู่เวรยุ่งๆ ในช่วงวันหยุดยาว “ปรึกษาจาก ER จ้า” เสียงโทรศัพท์จากเพื่อนที่อยู่เวรห้องฉุกเฉิน “คนไข้ชายอายุ 15 ปี เป็น advanced cancer(มะเร็งระยะลุกลาม) มาด้วยหอบเหนื่อยมาก คนไข้บอกยืนยันว่าไม่ใส่ท่อช่วยหายใจ ปรึกษาช่วยจัดการอาการหอบ”
คนไข้อายุเท่าไหร่นะ? ผมถามยืนยันอีกครั้ง “15 ปี” คำตอบยืนยันจากเพื่อนอีกครั้ง “คุยกับน้องแล้ว น้องรับทราบตัวโรค ขอตายแบบสงบไม่ทรมาน” เพื่อนให้ข้อมูลเพิ่มเติม คนในวัย 15 ปี…กล้าตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว คนในวัย 15 ปี…ที่พร้อมจะเผชิญ “ความตาย” คำถามในหัวโผล่ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ถ้าเป็นเราล่ะ…จะทำได้แบบนี้ไหม?
“สวัสดีครับ หมอชื่อ…นะครับ” ผมทักทาย “สวัสดีครับ” เขาพยายามลืมตาขึ้นมาคุย เป็นยังบ้างครับ? อาการเหนื่อยดีขึ้นบ้างไหม? ทันใดนั้น…เขาเอื้อมมือมาจับที่แขนผม “หมอครับ ช่วยผมด้วย ผมอยากกลับบ้าน” ผมตกใจเล็กน้อยเสียงร้องขอทั้งที่เรายังไม่ได้ทำความรู้จักกันเลย
น้องชื่ออะไรครับ “มิกกี้(นามสมมติ)ครับ” “ผมอยากกลับบ้านครับ” เพราะอะไรมิกกี้ถึงอยากกลับบ้านล่ะครับ? “ผมอยากอยู่บ้าน ผมอยากเจอเพื่อน” “ผมรู้ว่าผมไม่ไหวแล้ว” ผมรู้ว่าร่างกายของมิกกี้กำลังจะไม่ไหวเขาดูเหนื่อยล้า หน้าตาซีดเซียว จมูกสองข้างมีออกซิเจนแรงดันสูงช่วยบรรเทาความเหนื่อยหอบ เขาเหลือเวลาไม่มากแล้ว เวลาของเขาเหลือเป็นชั่วโมงๆ หรืออาจเป็นวันต่อวัน
มิกกี้ได้บอกคนในครอบครัวไหมว่าอยากกลับบ้าน? “ผมบอกแม่แล้วครับ ผมบอกทุกคน แต่เขาพาผมกลับบ้านไม่ได้ แม่ไม่มีเงิน” บ้านมิกกี้อยู่ที่ไหนครับ? “จังหวัด…ครับ” เป็นจังหวัดแห่งหนึ่งที่ภาคอีสาน ผมประเมินระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางคงไม่ต่ำกว่า 5-6 ชั่วโมง
เพราะอะไรมิกกี้ถึงอยากกลับบ้านครับ? “ผมอยากไปอยู่กับแม่ ผมอยากเจอเพื่อนๆ อยากลาเพื่อนเป็นครั้งสุดท้าย” มิกกี้บอกความปรารถนาอย่างแรงกล้า “หมอช่วยผมหน่อยครับ” ผมถึงกับน้ำตาคลอ “หมอจะพยายามช่วยให้มิกกี้ได้กลับบ้านนะครับ หมอขอคิดว่าวิธีทางช่วยมิกกี้ก่อนนะ หมอจะพยายามอย่างดีที่สุด” ผมพูดด้วยเสียงสั่น ออกไปอย่างไม่รู้ตัวไม่รู้ว่าจะเป็นการให้ความหวังลมๆ แล้ง ๆ กับมิกกี้หรือเปล่า
ทันใดนั้น…ครอบครัวของมิกกี้ก็เดินเข้ามา ผมได้รู้ว่าครอบครัวค่อนข้างลำบาก พ่อกับแม่จึงต้องจากบ้านไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัวที่กรุงเทพ มีย่าเลี้ยงดูมิกกี้ตั้งแต่เด็ก มิกกี้เติบโตที่จังหวัดหนึ่งในอีสาน “เขาเป็นเด็กดีมาตลอด เขาตั้งใจเรียน เขาไม่น่าอายุสั้นเลย” คุณย่าพูดด้วยความเสียใจ
หลายปีก่อนมิกกี้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ครอบครัวพาไปรักษาอย่างต่อเนื่องผ่าตัด เคมี ฉายแสง มิกกี้ต่อสู้อย่างอดทนมาโดยตลอด โชคร้ายเหลือเกิน…ตัวโรคกลับมา มีการแพร่กระจายไปหลายจุด มิกกี้เหนื่อยมากขึ้น จนขอยุติการรักษาด้วยตัวเอง ครอบครัวจึงพามิกกี้มาดูแลที่บ้านแม่ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่ผมทำงานอยู่
มิกกี้เคยบอกย่าไหมว่าอยากกลับบ้าน? “เขาพูดตลอด เขาอยากกลับบ้าน อยากไปหาเพื่อน” “ตอนนี้เขาเหนื่อยมาก ไม่รู้จะพากลับไปยังไง” “ย่าไม่มีเงินพาหลานกลับบ้านหรอก จ่าไม่มีค่ารถ” คุณย่าเล่าทั้งน้ำตา…ผมก็ยิ่งเสียงสั่นเข้าไปอีก
“โรคภัย” ที่มาพร้อมกับ “ความจน” ช่างน่ากลัวเหลือเกิน รสชาติที่หากใครไม่เคยสัมผัสคงจินตนาการไม่ออกว่ามันเจ็บปวดเพียงใด เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกอยากเป็นคนรวยขึ้นมาจริงๆ ทั้งที่รู้ว่าหากผมรวยจริงๆ ผมก็ช่วยคนทั้งโลกไม่ได้
“ผมขอหาทางช่วยให้มิกกี้ได้กลับบ้านดูก่อนนะครับ” ผมพูดกับคุณย่าผมพยายามติดต่อกับหลายๆ คนเพื่อนๆ จิตอาสา ผู้ใจบุญหลายท่านจนมีผู้ใหญ่ใจดีช่วยสนับสนุนค่าเดินทางกลับบ้านให้มิกกี “มิกกี้ครับ มีผู้ใหญ่ใจดีหลายคนเลยนะที่ช่วยพามิกกี้กลับบ้าน” “ดีใจไหมลูก” ผมเผลอเรียกลูกด้วยความเอ็นดู “ขอบคุณครับ” มิกกี้ยกมือไหว้ผม
ผมพูดคุยกับครอบครัวอีกครั้ง “มิกกี้จะกลับถึงบ้านไหมคะ?” แม่ของมิกกี้ถามผมให้ข้อมูลอย่างตรงจริง “บอกไม่ได้เลยครับ มิกกี้มีโอกาสที่จะเสียชีวิตระหว่างทาง” “ถ้าเขาเสียระหว่างทาง นั่นก็เท่ากับว่าสิ่งที่เราทำก็สูญเปล่าใช่ไหมคะ” “ไม่เลยครับคุณแม่ หนึ่งคือเราตั้งใจพามิกกี้กลับบ้าน และสอง…มิกกี้ก็รับรู้ว่าเราตั้งใจทำความฝันสุดท้ายให้เขาอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง เราทำดีที่สุดแล้วครับ”
ผมให้ครอบครัวพามิกกี้โทรหาเพื่อนๆ และวีดีโอคอล อย่างน้อยหากมิกกี้โชคร้ายเสียชีวิตระหว่างทาง ก็ยังมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนๆ ของเขา มิกกี้ออกเดินทางด้วยรถที่มีผู้ใหญ่ใจดีสนับสนุนการเดินทาง และโชคร้ายครับ…มิกกี้กลับไปไม่ถึงบ้านอันแสนอบอุ่นหลังนั้น…
เวลาของคนเราช่างแสนสั้นเหลือเกิน ใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร มิกกี้ทำให้ผมกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองมากมาย เราทำอะไรอยู่? ตอนนี้เราเป็นอย่างไร? ความฝันในชีวิตของเราจริงๆ คืออะไรกันแน่นะ?
หมอไม่เสียใจ…แต่เสียดายที่เราเจอกันช้าไป เด็กน้อยที่มีความฝันสุดท้ายแค่ “อยากกลับบ้าน” และ “เจอเพื่อนๆ “ ขอบคุณที่มาเป็นครูในวันที่แสนวุ่นวายเขาทำให้ผมอยากเห็นคนไทยได้ “อยู่ดี” และ “ตายดี” โดยไม่มีความจนเป็นอุปสรรค