ชื่นชม "หมอพลอย" เฉลียวใจคนไข้วัย 60 อาจรับพิษ "ไซยาไนด์" จึงช่วยชีวิตได้ทันเวลา
เพจเรื่องเล่าหมอชายแดน แชร์เรื่องราว "หมอพลอย" เฉลียวใจหญิงวัย 60 อาจได้รับพิษ "ไซยาไนด์" จึงช่วยชีวิตคนไข้ได้ทันเวลา ทั้งที่สารชนิดนี้วินิจฉัยยากมาก
เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 เพจเฟซบุ๊ก เรื่องเล่าหมอชายแดน ได้ออกมาเผยประสบการณ์ตรงช่วยชีวิตคนไข้จากไซยาไนด์ โดยระบุว่า วันนี้อยากเล่าเรื่องพิษจากไซยาไนด์ (cyanide poisoning)
เพราะมีเหตุการณ์สะเทือนขวัญ น่าจะเป็นคดีระดับโลกได้หากเป็นจริงตามที่สงสัยกัน มีการใช้สารพิษไซยาไนด์ในการฆ่าคนกว่า 12 ศพ ที่โรงพยาบาลแม่สอดได้เคยวินิจฉัยโรคนี้ได้เมื่อเดือนกันยายน 2565 ที่ผ่านมาด้วยความสงสัยของแพทย์ประจำห้องฉุกเฉินของเรา พญ.กมลวรรณ หรือ หมอพลอย พบคนไข้หญิงอายุราว 60 ปีญาติบอกว่าหลังกินข้าวเที่ยงแล้วไปนอนพักที่โซฟานาน 15 นาที มีอาเจียนรุนแรงและสลบหมดสติไปทันที มาถึงโรงพยาบาลตอนบ่ายสองโดยญาติบึ่งรถยนต์มาจากบ้านใช้เวลา 15 นาที คงมาแบบเร็วสุดเพราะระยะทางก็ไม่ได้ใกล้
ที่ห้องฉุกเฉินคนไข้โคม่า E1V1M1 แต่ยังหายใจเฮือก ไม่ขยับตัวเลย ตัวอ่อนปวกเปียก ช็อคความดันต่ำ 80/50 mm.Hg แพทย์ห้องฉุกเฉินใส่ท่อช่วยหายใจทันที ตอนแรกนึกถึงภาวะ stroke fast tract (โรคหลอดเลือดสมอง ตีบ/แตก) ผลเลือดแย่มากเลือดเป็นกรดรุนแรง pH 6.9 HCO3 7.8 (ค่าความเป็นด่าง) เม็ดเลือดขาวขึ้นมาก 20,000 ค่าแลคเตตซึ่งแสดงว่าอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียรุนแรงมากกว่า 22 เกินเครื่องจะวัดได้ (ปกติน้อยกว่า 2) นอกจาก stroke แล้วก็ยังนึกถึงภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดด้วย จึงจัดการส่งเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สมองพบว่าปกติดี ให้ยาปฏิชีวนะ ให้สารน้ำ ให้ยากระตุ้นความดัน ดูแลแบบผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด ทำ Echo ตรวจหัวใจและอัลตราซาวน์ช่องท้องผลปกติ หัวใจบีบตัวดีมาก
ตอนนั้นหมอพลอยก็บอกว่าประวัติมันแปลกๆ มันรวดเร็วเกินไป ไม่มีไข้ไม่มีอาการติดเชื้อมาก่อนเลย เหมือนได้รับสารพิษอะไรบางอย่าง จึงโทรศัพท์ปรึกษาศูนย์พิษวิทยาโรงพยาบาลรามาธิบดี ให้ความเห็นว่าถ้าไม่สามารถแยกโรคพิษจากไซยาไนด์ได้ ให้รักษาเสมือนผู้ป่วยได้รับสารพิษไซยาไนด์ไปก่อนเพราะหากช้าผู้ป่วยจะไม่รอดชีวิต หมอพลอยจึงรีบให้ antidote (ยาต้านพิษ) ซึ่งโชคดีมากที่โรงพยาบาลแม่สอดเรามี นั่นคือ 3% sodium nitrite 10 ml iv push และ 25% Sodium thiosulfate 3 amps iv push * 2 ครั้ง แก้ไขภาวะความเป็นกรดด้วยสารละลายด่างชนิดฉีด
ต่อมาผู้ป่วยมีภาวะชักจึงได้ให้ยากันชักด้วย โชคดีที่หัวใจของผู้ป่วยยังไม่เป็นไรมีเพียงเต้นเร็วกว่าปกติ ด้วยความพยายามของแพทย์ห้องฉุกเฉินและแพทย์เวรอายุรกรรมในวันนั้นภายใน 12 ชั่วโมง ก็สามารถแก้ไขให้ผลเลือดกลับมาเป็นปกติได้หมด และผู้ป่วยสามารถเอาท่อช่วยหายใจออกได้ในวันรุ่งขึ้น เมื่อผลเพาะเชื้อต่างๆ ไม่พบว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียจึงได้หยุดยาฆ่าเชื้อและสามารถให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้ภายใน 5 วัน
ผลการตรวจเลือดที่ส่งตรวจกับทางศูนย์พิษวิทยาโรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่ามีสารไซยาไนด์จริง ปริมาณ 3.2 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร (ค่าปกติ <0.5) โดยเคสนี้คิดว่าได้รับสารไซยาไนด์ที่อาจมีการปนเปื้อนในอาหาร หรือสารเคมีในบ้าน จากข้อมูลที่ว่าไซยาไนด์ในประเทศไทยเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ต้องมีใบอนุญาตครอบครองใช้เป็นสารเคมีน้ำประสานทองในอุตสาหกรรมทอง อุตสาหกรรมอิเลคทรอนิกส์ การล้างภาพและพิมพ์เขียว เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติดบางชนิด (ยาบ้า) เป็นสินค้านำเข้าของประเทศพม่าโดยผ่านทางประเทศไทย (เคยเป็นข่าวมาก่อน หน้านี้) นอกจากนี้ยังปนเปื้อนอยู่ในอาหารบางชนิดเช่น มันสำปะหลังดิบ หน่อไม้ดิบ ถั่วบางชนิด ก่อนหน้านี้ก็เคยมีคนไข้ชาวสวนกินมันสำปะหลังดิบแล้ววูบมาโรงพยาบาลแต่อาการไม่ถึงตายเพราะอาจจะได้รับเข้าไปเล็กน้อย
อยากให้ประชาชนทุกคนรับรู้ถึงพิษของมันและระมัดระวังในการรับประทานอาหารหรือน้ำที่อาจจะมีสารไซยาไนด์ปนเปื้อน หรือสูดดมอากาศที่มีไซยาไนด์ระเหย หากประมาทถึงตายได้ค่ะ
เคสนี้เบียร์มีส่วนเกี่ยวข้องเล็กน้อย คือผลตรวจโควิดของคนไข้เป็น inconclusive (ก้ำกึ่ง) จึงได้รับรู้เคสจากการรับปรึกษาทางโทรศัพท์ในวันนั้น แต่พิษไซยาไนด์เป็นเรื่องใหม่ของเบียร์จนต้องรีบ search หาข้อมูลเลย ต้องชื่นชมความเฉลียวใจและความรอบรู้ของหมอพลอยหมอประจำห้องฉุกเฉินวันนั้นที่ทำให้คนไข้รอดชีวิต เพราะเป็นโรคที่วินิจฉัยยากมากๆ และขอขอบคุณสายด่วนของศูนย์พิษวิทยาโรงพยาบาลรามาธิบดี ที่เป็นที่ปรึกษาให้กับโรงพยาบาลแม่สอดตลอดมา ทำให้พวกเราเกิดการเรียนรู้และช่วยตรวจเลือดเพื่อยืนยันด้วย
ทั้งนี้ทางเพจยังได้ระบุเพิ่มเติมด้วยว่า ปกติจะมีกลุ่มอาการพิษที่พบบ่อย (common toxidrome) จากการตรวจร่างกายเมื่อจัดกลุ่มอาการจะพอบอกได้ว่าเป็นสารอะไร และส่วนใหญ่จะได้ประวัติว่ากินสารอะไรมา โดยอาจจะนำขวดสารเคมีมาด้วย แต่ cyanide ไม่เข้ากับกลุ่มอาการพิษใดๆ วินิจฉัยจากการ rule out อย่างอื่น จึงทำให้วินิจฉัยยากมากๆ