"พิธา" ลั่น เลือกด้วยความหวัง อย่าเลือกด้วยความกลัว คำตอบสุดท้าย ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน
พรรคก้าวไกล (ก.ก.) เปิดปราศรัยภายใต้คำขวัญ "คำตอบสุดท้าย ก้าวไกล ทั้งแผ่นดิน" จัดขึ้นที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง ซึ่งพรรคจัดเตรียมพื้นที่ภายในอาคารและด้านนอกในสนามฟุตบอล รวมพื้นที่ 12,900 ตารางเมตร
พรรณิการ์ วานิช ผู้ช่วยหาเสียงประกาศว่ามีประชาชนเข้าร่วมภายในอาคารกว่า 10,000 คน และด้านนอกเต็มสนามฟุตบอล 2 สนาม รวมทั้งในอาคารและนอกอาคาร กว่า 50,000 คน ขณะที่มีผู้ฟังไลฟ์สดผ่านยูทูบพร้อมกันสูงสุด ราว 150,000 คน พร้อมปราศรัยว่า “จุดขายของพรรคก้าวไกลที่ต่างจากพรรคอื่น คือ เป็นพรรคที่เกิดจากประชาชนและมีเจ้านายคนเดียว คือ ประชาชน”
ด้าน ปิยบุตร แสงกนกกุล เปิดปราศรัยว่า ก้าวไกล ต้องการให้การเลือกตั้ง วันที่ 14 พ.ค. เป็นการเลือกตั้งที่ “เอากรงขัง” ของอดีตออกไป กระแสของพรรค ในช่วงโค้งสุดท้ายจากคาราวานพรรคก้าวไกล 4 ภาคทำให้เห็นว่าประชาชนมีความหวัง และเรียกกระแสที่เกิดขึ้นว่า เป็น “ปรากฏการณ์ ก้าวไกลไฟลามทุ่ง ไปทั่วประเทศ ปรากฏการณ์เช่นนี้ ทำให้กลุ่มคนที่อยู่ในอดีต พยายามหยุดพวกเรา เกิดความกลัว ว่า โลกแบบใหม่ ได้เกิดขึ้นแล้ว จึงเอาความกลัวมาทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อหยุดยั้งความหวังของพี่น้องประชาชน
“อีกฝ่ายใช้ความกลัววาดภาพให้ก้าวไกลเป็นปีศาจ เป็นพวกยุยงปลุกปลั่น เป็นพวกสุดโต่งชังชาติ และบิดเบือนนโยบายของก้าวไกล โดยช่วงหนึ่ง เขาได้กล่าวพาดพิงคำขวัญเลือกตั้งของพรรคการเมืองร่วมฝ่ายค้าน ว่า เป็นหนึ่งในผู้ที่มีความกลัว ต่อพรรคก้าวไกล
“พี่น้องครับ เขายังกลัวอะไรอีก เขามีความกลัวว่า ถ้าวันนี้เขาไม่แลนด์สไลด์ จะไม่ได้กลับมามีอำนาจอีก ความกลัวพยายามจะบอกเราว่าให้เราหยุดที่การเปลี่ยนนายกฯ เปลี่ยนรัฐบาลก็พอแล้ว แต่ความหวังบอกเราว่า เปลี่ยนรัฐบาลไม่พอ แต่ต้องเปลี่ยนอนาคตประเทศไทยด้วย”
“เสียงการเปลี่ยนแปลงดังอยู่หน้าบ้านท่าน จงใช้การเปลี่ยนแปลงให้เป็นประโยชน์ 14 พ.ค. นี้ขอให้พี่น้องประชาชนกากบาทก้าวไกลให้ถล่มทลาย ให้การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต… 14 พ.ค. นี้ คำตอบสุดท้าย ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน”
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กล่าวว่า "อนาคตใหม่ฆ่าไม่ตาย" แต่กลับโตขึ้นและมีการตื่นรู้ของสังคมไทย การเดินทางของอนาคตใหม่และก้าวไกลไม่ได้ถูกทำลาย "โมงยามแห่งความเปลี่ยนแปลงเกืดขึ้นแล้ว และจะไม่ย้อนกลับไปหาอดีต ขอให้ประชาชนส่งพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และส่งพิธา ลิ้มเจริญรัตน์เป็นนายกรัฐมนตรี
“ในช่วงเวลา สี่ปีที่ผ่านมาไม่มีช่วงเวลาไหนที่ฉันทามติแห่งความเปลี่ยนแปลงจะดังสนั่นเท่าตอนนี้”
ด้าน ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ระบุว่า การเมืองที่จะยกระดับความกินดีอยู่ดีของประชาชนจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่แก้โจทย์แห่งยุคสมัย นั่นจึงเป็นที่มาของการเมืองแบบอนาคตใหม่และก้าวไกล ขณะที่การเมืองเดิม ให้ความสำคัญเฉพาะการชนะเลือกตั้งเพื่อสลับกันมีอำนาจ แต่ไม่มีโครงการเปลี่ยนประเทศไทย เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาธิปไตยเลย
“เราจึงไม่เห็นการปฏิรูปกองทัพ สุดท้าย ชาวนาก็ถูกงูเห่าฉกตายในตอนจบ ถูกงูเห่าฉกตายครัวแล้วครั้งเล่า พวกเขาหวังเอาชนะเลือกตั้งถล่มทลาย แต่ไม่เคยเอาชนะ ความคิดทางสังคมได้เลย จึงไม่สามารถปกปักรักษาอำนาจของประชาชนได้
“ไม่ต้องกลัวว่ากาก้าวไกลแล้วคะแนนจะตกน้ำเพราะทุกคะแนนคือความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน แค่กาก้าวไกลถล่มทลาย สังคมไทยก็เปลี่ยนแล้ว”
และคนสุดท้ายที่ขึ้นปราศรัย คือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า “เวลาของพวกเรามาถึงแล้ว” ผู้นำคนต่อไปต้องพร้อมจะแก้ปัญหาเก่า เผชิญหน้าปัญหาใหม่ พร้อมจะนำประเทศไทยไปสู่อนาคต การยุติวงจรการรัฐประหาร และคืนศรัทธาให้ระบบรัฐสภาและประชาธิปไตย ขณะที่ปัญหาใหม่ที่พิธาได้ชวนให้สังคมกลับมาตั้งสติอย่างมีวุฒิภาวะ
“เรายอมรับหรือไม่ว่าสิ่งที่คุณรุ่นใหม่กำลังเผชิญเป็นมรดกตกทอดจากคนรุ่นเก่า เป็นเพราะพวกเราสมัยก่อน ที่ดึงสถาบันเอามาโจมตีกัน นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไม ผู้นำคนต่อไป ต้องสามารถนำพาให้เกิดการวางพระราชอำนาจของสถาบันกษัตริย์ ให้อยู่อย่างสง่างาม
“วันนี้ผมพร้อมแล้วครับที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทั้งประเทศ ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยกับผม ผมก็จะเป็นนายกรัฐมนตรีเหมือนกัน ไม่ว่าจะเลือกหรือไม่เลือกผม ผมก็พร้อมจะรับใช้ท่าน ขอให้ เลือกอนาคตอย่าเลือกอดีต เลือกด้วยความหวัง อย่าเลือกด้วยความกลัว และคำตอบสุดท้าย ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน”
ก่อนประกาศความชัดเจนครั้งสุดท้ายว่า “มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง”