มานิต ปัดลาพัก30วันหลังพบอภิสิทธิ์

มานิต ปัดลาพัก30วันหลังพบอภิสิทธิ์

มานิต ปัดลาพัก30วันหลังพบอภิสิทธิ์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เช้าเข้าสธ.ทำงาน ปกติเตรียมตรวจเยี่ยม รพ.ขอนแก่น ชัย สวนกฎเหล็ก 9 ข้อ "อภิสิทธิ์" ใช้เฉพาะปชป. อย่าจุ้นพรรคอื่น เชื่อ "มานิต" มีทีเด็ดแจงศึกซักฟอกได้ ชี้เป็นนายกฯมีอำนาจ ปลด-แต่งตั้งได้อยู่แล้ว ไม่ปลื้มการทำงานของตัวเอง

เมื่อเวลา 13.30น. วันที่ 6 ม.ค.ที่รัฐสภา นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะส.ส.สัดส่วน พรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่นายมานิต นพอมรบดี รม ช.สาธารณสุข ประกาศไม่ลาออกจากตำแหน่งและจะขอชี้แจงข้อเท็จจริงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า ไม่ทราบ เพราะตนไม่ได้เข้าประชุมพรรค แต่ก็เป็นสิทธิ์ของนายมานิตที่จะชี้แจงในสภาฯได้ เชื่อว่านายมานิตจะชี้แจงได้และคงมีทีเด็ดอะไร ถึงกล้าต่อสู้ เพราะการอภิปรายในสภาฯหากมีหลักฐานแน่ชัด รัฐมนตรีก็อยู่ไม่ได้ ยกเว้นจะมีทีเด็ดคือไม่ได้ทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งอยากถามว่าเงินในโครงการไทยเข้มแข็งนี้ได้รับการอนุมัติไปแล้วหรือยัง

ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่ากฎเหล็ก 9 ข้อของนายกรัฐมนตรีใช้ไม่ได้ผล นายชัย กล่าวว่า กฎเหล็กของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นกฎเหล็กที่วางไว้ในนามหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะไปก้าวก่ายพรรคอื่นไม่ได้ เป็นสิทธิ์ของท่านในพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถเข้ามาก้าวก่ายพรรคอื่น เมื่อถามย้ำว่า หากเป็นเช่นนั้นนายกรัฐมนตรีก็ไม่สามารถคุมรัฐมนตรีได้ นายชัย กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีอำนาจอยู่แล้ว สามารถสั่งปลดหรือแต่งตั้งใครก็ได้ หรือจะยุบสภาเมื่อใดก็ได้

เมื่อถามว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีที่จะมีขึ้นคิดว่าจะสามารถควบคุมการประชุม ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยได้หรือไม่ นายชัย กล่าวว่า ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะมีข้อบังคับระบุไว้อยู่แล้ว หากใครไม่ฟังก็ต้องเชิญออก หรือให้ รปภ.หิ้วออก หากจำเป็นต้องใช้ค้อนก็ต้องใช้เพื่อคุมให้การประชุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

"ผมยืนยันว่า พรรคภูมิใจไทยไม่ได้อุ้มนายมานิต แต่อยากให้สังคมให้ความเป็นธรรมกับนายมานิตด้วยว่ามีการเบิกจ่ายใช้งบไปจริง และทุจริตจริงหรือไม่ ทำในฐานะหน้าที่ของส.ส.หรือของรัฐมนตรี" นายชัย กล่าว

เมื่อถามต่อว่า กรณีของนายมานิตจะทำให้ภาพพจน์ของพรรคภูมิใจไทยตกต่ำลงหรือไม่ นายชัย กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน เพราะวันนี้ภาพพจน์ของพรรคภูมิใจไทยดีขึ้น จะเห็นได้จากผลการเลือกตั้งซ่อมส.ส.ที่จ.มหาสารคาม ที่คะแนนผู้ชนะห่างกับส.ส.เพียง 1,000 คะแนน และเชื่อว่าการเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะขึ้นอยู่กับฝีมือของแต่ ละบุคคลเป็นหลัก ลักษณะตัวใครตัวมัน นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับสื่อมวลชนที่จะกระจายข่าวให้ประชาชนได้รับทราบ

เมื่อถามว่าดูเหมือนขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาลกำลังบีบนายกรัฐมนตรี นายชัย กล่าวว่า ไม่ได้บีบ เพราะนายกรัฐมนตรีคนนี้เป็นตัวของตัวเอง แต่เรื่องเล็กจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไม่ได้ ขณะนี้ควรดูเรื่องใหญ่ก่อนว่าจะทำอย่างไรให้บ้านเมืองไปได้ ที่ผ่านมาอาจมีกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ตนเห็นว่าเรื่องใหญ่ในขณะนี้คือความสามัคคีของคนในชาติ ต้องคิดว่าทำอย่างไรถึงจะให้ประเทศไทยไม่มีเสื้อสีต่างๆ ขอให้เป็นคนไทยจริงๆ ซึ่งทุกฝ่ายต้องหยุดการกระแนะกระแหนกัน แล้วเอาตัวบทกฎหมายมาเป็นหลัก

เมื่อถามว่า ได้มีการประเมินการทำหน้าที่ประธานรัฐสภาที่ผ่านมา 2 ปีอย่างไร นายชัย กล่าวว่า ตนยังใช้ความสามารถไม่ถึง 20 % ยังไม่ได้ใช้ความสามารถอะไรเลย คิดอย่างเดียวคือเรื่องสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ ยอมรับว่ายังมีปัญหาไม่ได้รับความร่วมมือจากฝ่ายนิติบัญญัติในการผลักดัน กฎหมายเท่าที่ควร ซึ่งจะขออยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไปจนกว่าจะมีการยุบสภา เมื่อถามว่า จะวางมือทางการเมืองเมื่อไร นายชัย กล่าวอย่างติดตลกว่า "แล้วแต่ฟ้าดินจะบันดาล ฟ้าดินบันดาลให้เดินได้ พูดได้ ประชาชนสนับสนุน แต่หากฟ้าดินไม่ต้องการ สุขภาพไม่ดี ประชาชนไม่เอา ตนก็ต้องวางมือ"

ขณะเดียวกันมีรายงานว่า นายมานิตทำหนังสือลาราชการเป็นเวลา 30 วันหลังพบนายอภิสิทธิ์มีผลวันที่ 7 ม.ค.นี้ ทั้งนี้เพื่อเปิดทางให้มีการสอบสวนและลดข้อครหา ซึ่งนายมานิตว่า ได้เข้าพบเพื่อแจ้งมติพรรคภูมิใจไทย ขอยืนยันไม่ลาออก ทำงานปกติ จนกว่าผลการไต่สวนป.ป.ช.เสร็จ และมั่นใจแจงอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ ไม่กระทบฐานเสียงของพรรค

เช้าเข้าสธ.ทำงานปกติเตรียมตรวจเยี่ยม รพ.ขอนแก่น

อย่างไรก็ตามเมื่อเวลา 10.45 น. นายมานิตได้เดินทางเข้ามาทำงานด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส โดยวันนี้นายมานิตสวมเสื้อกาวซึ่งเป็นชุดแบบฟอร์มประจำกระทรวงสาธารณสุข นายมานิต กล่าวว่า งานแรกที่ตนจะทำคือลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น เพื่อตรวจสอบกรณีโรงพยาบาลศูนย์จ.ขอนแก่นผ่าตัดตาต้อกระจกแล้วมีผู้ป่วยตาบ อด 7 ราย โดยขณะนี้ตนอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลเพราะที่ได้รับรายงานว่า จากการเพาะเชื้อตรวจไม่พบเชื้อตามเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งต้องมองว่า มันเกิดอะไรขึ้น เพราะแต่ละปีมีการผ่าต้อกระจกจำนวนมาก อีกทั้งจากการลงพื้นที่หลายจังหวัด เช่น จ.สกลนคร แต่ละวันมีการผ่าตัดต้อกระจกวันละ 50-60 ราย ซึ่งเรื่องนี้เป็นความรู้สึกของประชาชน ทำให้คนที่มีปัญหาเรื่องตาต้อกระจกตกใจ แต่หลายคนถ้าไม่รักษาอาจอันตรายถึงตาบอด แต่ถ้ารักษาแล้วต้องสามารถบอกกับประชาชนได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากไหน แต่อย่าเอาไปโยงเรื่องเครื่องทำลายเชื้อโรคระบบปิดด้วยแสงอุลตร้าไวโอเลต หรือ ยูวีแฟน

ผู้สื่อข่าวถามว่า โครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินการอย่างไรต่อไป นายมานิตกล่าวว่า ยังไม่ทำอะไร ขอดูเรื่องแรกที่สำคัญที่สุด ที่นักข่าวบอกว่าเกิดกรณีผ่าตัดต้อกระจกแล้วมีคนตาบอด ตนเป็นห่วงมากเพราะคนที่มีปัญหาตกใจกันมาก ส่วนเรื่องโครงการไทยเข้มแข้งนั้นมีนพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการอยู่แล้ว

เมื่อถามถึงข่าวการฟ้องกลับนพ.บรรลุ ศิริพานิช ประธานคณะกรรมการสอบสวนโครงการไทยเข้มแข็ง รมช.สาธารณสุข ตอบเพียงสั้นๆว่า ยัง

ด้าน นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กรณีที่มีผู้ออกมาทักท้วงการตั้งคณะกรรมการทบทวนความเหมาะสมและแก้ไขโครงการ ไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุขชุดใหม่ที่มีตนเป็นประธาน ยืนยันว่า ในฐานะปลัดกระทรวงสาธารณสุขสามารถทำได้ เพราะอยู่ในอำนาจเนื่องจากเป็นการแต่งตั้งผู้ที่อยู่ในระดับต่ำกว่า แต่หากเป็นการแต่งตั้งคณะกรรมการที่มีรัฐมนตรีเป็นประธานก็คงแต่ตั้งไม่ได้ เพราะเกินอำนาจ ตนก็รู้สึกแปลกใจที่มีผู้ออกมาทักท้วงแบบนี้ เพราะระเบียบนี้ทำมาเป็น 10-20 ปีแล้ว

ส่วนกรณีที่มีสมาคมวิชาชีพสาธารณสุขได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้โยกย้ายข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขที่ถูกระบุในผลสอบ โครงการไทยเข้มแข็งชุด นพ.บรรลุ และตั้งคณะกรรมการสอบวินัยนั้น นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า ขออโหสิกรรม ซึ่งทุกคนก็คงทราบดีอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ต่อข้อซักถามว่า การออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับปัญหาการผลักดัน พรบ.วิชาชีพสาธารณสุขหรือไม่ นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องดู แต่ในกลุ่มวิชาชีพสาธารณสุขนั้นแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก เมื่อวานนี้ก็ได้เข้ามอบดอกไม้ให้กำลังใจและสนับสนุนให้ตนทำงานต่อไป และอีกกลุ่มหนึ่งก็เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อให้ย้ายตนออกจากตำแหน่ง อย่างไรก็ตามอยากชี้แจงว่าไม่ใช่ว่าใครจะทำอะไรก็ได้ แต่ต้องรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ซึ่งตนเป็นปลัดก็มีหน้าที่ต้องดูแลกระทรวงสาธารณสุข ส่วนที่มองว่าทางสมาคมวิชาชีพสาธารณสุขเล่นแรงเกินไปหรือไม่ ก็คงต้องถามย้อนกลับสื่อว่า มองว่าแบบนี้เป็นการเล่นแรงเกินไปหรือไม่ อย่างไรก็ตามปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นตนไม่อยากให้เกิดเป็นความขัดแย้ง ในฐานะปลัดจึงไม่อยากให้สัมภาษณ์เพื่อที่ปัญหาจะได้ยุติ

นายไพศาล บางชวด นายกสมาคมวิชาชีพสาธารณสุข กล่าวว่า หลังจากที่สมาคมวิชาชีพสาธารณสุข ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี วานนี้ (5 ม.ค.) เพื่อให้เร่งดำเนินการเอาผิดกับผู้ถูกกล่าวหาทุจริต ในโครงการไทยเข้มแข็ง ตามผลสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในโครงการดังกล่าว ที่มี นพ.บรรลุ ศิริพานิช เป็นประธาน ตามที่มีการชี้มูลความผิดนักการเมือง 4 คน และข้าราชการ 8 คน ซึ่งยังขอยืนยันในหลักการเดิม เพื่อต้องการให้มีการแก้ไขต้นตอของปัญหาอย่างแท้จริง ไม่ใช่มุ่งไปที่นักการเมืองเพียงด้านเดียว เนื่องจากข้าราชการก็มีส่วนรู้เห็นเป็นใจและเปิดช่องให้มีการทุจริตเกิดขึ้น ด้วย จึงต้องกระตุ้นเตือนและยื่นข้อเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการเอาผิด กับข้าราชการด้วยอีกทางหนึ่ง เพื่อให้เกิดมาตรฐานด้านจริยธรรมและถือเป็นบรรทัดฐานทางสังคมที่เท่าเทียม กัน

นายไพศาล กล่าวว่า แต่เมื่อฝ่ายการเมือง คือ นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยังยืนยันไม่ยอมลาออก และปฏิเสธความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้อย่างชัดเจน สมาคมฯ จึงมีข้อเรียกร้องไปยังรัฐบาลเพิ่มเติมว่า รัฐบาลต้องกล้าตัดสินใจใช้มาตรการทางการบริหารและมาตรการทางกฎหมายที่เป็นไป ตามขั้นตอน โดยอิงกับข้อมูลการสอบสวนของคณะกรรมการชุดดังกล่าว อีกทั้งต้องยึดหลักการพิจารณาที่ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย มิเช่นนั้น อาจสร้างปัญหาและความยุ่งยากในการบริหารงานของรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จะมีการเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่ แทนนายวิทยา แก้วภราดัย ที่แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกไปแล้วก็ตาม

"รัฐบาลโดยการนำของนายกอภิสิทธิ์ฯ ต้องเร่งสะสางปัญหานี้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพื่อที่จะต้องเร่งสานนโยบายที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ โดยเฉพาะเรื่องโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพระดับตำบล ที่ผู้บริหารของกระทรวงสาธารณสุขยังไม่มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และยังไม่มีการทำความเข้าใจกับชาวบ้านในช่วงที่ผ่านมา" นายไพศาล กล่าว

ป.ป.ช.ขอผลสอบ"หมอบรรลุ"ขยายผลสอบ

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงการทุจริตโครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข ว่า ขณะนี้ป.ป.ช.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาสอบสวนการทุจริตโครงการดังกล่าวแล้ว มีตนเป็นประธานคณะอนุกรรมการ โดยขั้นตอนขณะนี้อยู่ระหว่างรอให้นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานป.ป.ช. เซ็นคำสั่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนอยู่ แต่โดยหลักการแล้ว คิดว่าจะนำผลการสอบสวนการทุจริตโครงการนี้ที่มีนพ.บรรลุ ศิริพานิช เป็นประธานมาประกอบการพิจารณาด้วย ซึ่งกำลังรอข้อมูลจากนายกรัฐมนตรีที่จะส่งมาให้ เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการสอบสวน ไม่ต้องให้ป.ป.ช.เริ่มนับหนึ่งใหม่ ส่วนที่อ้างว่าโครงการดังกล่าวยังไม่มีการใช้จ่ายงบประมาณจึงไม่ถือว่าเป็น การทุจริตนั้น คงต้องพิจารณาว่าแม้จะยังไม่มีการใช้เบิกจ่ายงบ แต่หากมีเจตนาที่จะทุจริต ก็ถือว่าเป็นความผิดที่สำเร็จแล้ว ซึ่งกรณีนี้ต้องขอดูรายละเอียดในสำนวนก่อนว่า มีการทุจริตเกิดขึ้นหรือยัง

ด้านนายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า หาก ป.ป.ช.ได้รับสำนวนสอบสวนการทุจริตโครงการไทยเข้มแข็งจากนพ.บรรลุ ก็จะนำมารวมพิจารณากับข้อมูลที่ป.ป.ช.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการคดีดังกล่าวไว้ แล้ว โดยจะมีการสอบสวนขยายผลต่อไปว่า มีใครเข้าไปเกี่ยวข้องบ้าง ซึ่งอาจจะมีผู้เข้าไปเกี่ยวข้องมากกว่าหรือน้อยกว่าตามผลสอบของ นพ.บรรลุ ก็ได้

"ประทิน"ป้องปลัดสธ.ยันไม่ได้บกพร่องต่อหน้านี้

พล.ต.อ .ประทิน สันติประภพ รองประธานคณะกรรมการตรวจสอบโครงการไทยเข้มแข็งชุด นพ.บรรลุ กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เสนอนายกรัฐมนตรี ตั้ง คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง หรือ สอบวินัย ข้าราชการว่า อยู่ที่ดุลพินิจของนายกฯ ส่วนตัวยืนยันว่า กรณีของ นพ.ไพจิตร์ ไม่ได้บกพร่องต่อหน้าที่ และได้ยืนยันมาตั้งแต่ต้น เนื่องจากตรวจสอบทั้งเอกสารและพฤติกรรม ก็ชัดเจนว่า นพ.ไพจิตร์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แม้จะได้รับมอบหมายได้ดูแลสำนักบริหารสาธารณสุขภูมิภาค (สบภ.) แต่อดีตปลัดกระทรวง ได้มอบหมายให้รองปลัดกระทรวงอีกคนเป็นผู้ดูมาตั้งแต่โครงการเมกะโปรเจกต์ ดังนั้นการที่ นพ.ไพจิตร์ กำกับดูแล สบภ.จึงเป็นงานรูทีนเท่านั้น

พล.ต.อ.ประทิน กล่าวต่อว่า กรณีของ นพ.ไพจิตร์ ตนเห็นว่าจากการดูทั้งหมดแล้วพบว่า ไม่มีอะไรบกพร่องต่อหน้าที่ ซึ่งความเห็นของตนไม่ตรงกับกรรมการบางคน และตอนที่คณะกรรมการฯได้เข้าเรียนผลสอบต่อนายกฯตนก็ได้พูดเรื่องนี้ต่อหน้า นายกฯไปแล้วว่า นพ.ไพจิตร์ไม่เกี่ยว แม้แต่การขอตัว ผอ.สบภ.ในขณะนั้นมาช่วยดูโครงการไทยเข้มแข็ง อดีตปลัดกระทรวงก็เป็นคนอนุมัติไม่ได้ถามความเห็น นพ.ไพจิตร์

พล.ต.อ.ประทิน กล่าวด้วยว่า กรณีการก่อสร้างอาคารศูนย์การแพทย์ 10 ชั้นที่ จ.ราชบุรี ก็มีการเสนอเรื่องนี้ต่ออดีตปลัดกระทรวง แต่เรื่องผ่านผู้ช่วยเลขานุการ รมว.สาธารณสุข ในฐานะที่ นพ.ไพจิตร์ ดูแล สบภ.ก็แทงเรื่องไปตามหน้าที่ เป็นงานรูทีน ไม่ได้มีอะไรบกพร่องอะไร ดังนั้นส่วนตัวเห็นว่า การจะดำเนินการกับข้าราชการไม่ว่าใครก็ตาม คนนั้นจะต้องมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับโครงการ แล้วต้องปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่กรณีของ นพ.ไพจิตร์จากการสอบสวนไม่พบหลักฐานว่าบกพร่องต่อหน้าที่แต่อย่างใด

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook