พระรักเกียรติ ชี้ลุ่มหลงกิเลสทางสู่ทุกข์!

พระรักเกียรติ ชี้ลุ่มหลงกิเลสทางสู่ทุกข์!

พระรักเกียรติ ชี้ลุ่มหลงกิเลสทางสู่ทุกข์!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"พระรักเกียรติ" เปิดใจการเมืองอุปถัมภ์ลุ่มหลงกิเลส เป็นเส้นทางเสี่ยงต่อทุกข์ จากรมต.รวย 100 ล้าน ต้องหลบซ่อน ใช้เงินวันละ 100 บาท ประกาศไม่ขอหวนกลับถนนการเมือง มั่นใจมาตรฐานศาลไทยตัดสินตามกฎหมายที่โหวตเห็นชอบโดยนักการเมือง

(9ม.ค.) เจเอสเอล โกลบอลมีเดีย พระรักเกียรติ สุขธนะ หรือฉายารักขิตะ ธัมโม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เดินทางมาออกรายการเจาะใจ ตอนเจาะใจอดีตรมต.ติดคุก คดีทุจริตสินบนยา 5 ล้านบาท โดยมีนายสัญญา คุณากร และนายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ เป็นพิธีกร โดยจะออกอากาศในวันที่ 14 ม.ค.ที่จะถึงนี้

โดยพระรักเกีรยติ เปิดใจว่า หลังรับการพักโทษหรือปล่อยตัวก่อนกำหนด 2 ปี 6 เดือน ก็บวชเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยจำพรรษาอยู่ที่วัดสิรินธราวาส อ.โนนสะอาด จ.อุดรธานี และหากไม่มีปัญหาต้องลาสิกขาบทก็อยากบวชตลอดชีวิตและไม่คิดหวนกลับมาสู่เส้นทางการเมืองอีกต่อไป

พระรักเกียรติ เล่าว่า เล่นการเมืองเป็นสมาชิกสภาจังหวัด (ส.จ.) มาตั้งแต่อายุ 26 ปี และเป็นส.ส.สมัยแรกปี 2526 จากนั้นเป็น ส.ส. ติดต่อกันถึง 7 สมัย สังกัดพรรคกิจสังคม จึงอยากพูดบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยจะไม่ขอพูดโกหกหรือให้ร้ายผู้อื่น ต้องยอมรับว่าระบบการเมืองไทยตั้งแต่ปี 2526-2544 เป็นการเมืองระบบเก่าก่อนปฏิรูป นักการเมืองอยู่ภายใต้ระบบอุปถัมป์ของหัวหน้าพรรคหรือหัวหน้าทีม ต้องอยู่ในมุ้งหรือก๊วน นักการเมืองอาวุโสให้การดูแลกิจกรรมทางการเมือง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง โดยปัจจัยที่นำมาสนับสนุนกิจกรรมทางการเมืองมาจากกลุ่มผู้สนับสนุนการเงินแก่นักการเมือง หน้าที่ผู้รับการสนับสนุนคือทำตามมติพรรค จะมีการประชุมตกลงเป็นมติพรรคก่อนโหวตในสภาฯ

ต่อมาเมื่ออาตมาเติบโตขึ้นมีพรรษาทางการเมืองมากขึ้น ทำให้มีนักการเมืองในพื้นที่มาสังกัดอยู่ในกลุ่ม จึงขยับขึ้นเป็นผู้ดูแล มีกลุ่มทุนเข้ามาสนับสนุน เมื่อมีส.ส.ในกลุ่ม 5 คน ก็ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยปี 2535 และได้รับความไว้วางใจให้ดูแลส.ส.ภาคอีสานตอนบน 5-6 จังหวัด สำหรับสัดส่วนโควต้ารัฐมนตรีในแต่ละครั้งจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับพรรคว่าจะได้รับการจัดสรรกี่ตำแหน่ง ขณะที่ส.ส.บางคนป็นส.ส.ถึง 10 สมัย แต่ก็ไม่เคยเป็นรัฐมนตรี เพราะเขาไม่มีภาวะผู้นำไม่มีทีม ทำให้ไม่ได้รับการยอมรับ

พิธีกรถามว่า เป็นรัฐมนตรีได้รับเงินเดือน 9 หมื่นบาทอุปภัมป์ส.ส.ในกลุ่มอย่างไร พระรักเกียรติ กล่าวว่า การเมืองมีกลุ่มทุนสนับสนุน กลุ่มทุนมากพรรคยิ่งเติบโต มีจำนวนส.ส.รัฐมนตรีและกลุ่มทุนเข้ามาสนับสนุนมากขึ้นด้วย หรือเป็นวงจรอุบาทว์ ต่อมาจึงมีการปฏิรูปการเมืองในปี 2540 จัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาตรวจสอบนักการเมืองและมีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ผ่านมาคนที่ขึ้นศาลนี้ยังไม่มีใครชนะ ไม่ว่าจะเป็นนายวัฒนา อัศวเหม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือนายวราเทพ รัตนากร ซึ่งต้องโทษจำคุก 2 ปีจากคดีหวยบนดิน แต่ศาลให้รอการลงอาญา

พิธีกรถามว่า วงจรมุ้งการเมืองยังมีอยู่หรือไม่ พระรักเกียรติ กล่าวว่า อาตมาไม่ทราบเพราะอยู่ในเรือนจำ พ้นโทษออกมาก็บวชเลย พีธีกรจึงถามต่อไปว่า วิธีการเอื้อประโยชน์ของกลุ่มทุนการเมือง พระรักเกียรติ กล่าวว่า ช่วงที่มีอำนาจวาสนา ทำอะไรก็มีแต่คนสนับสนุน จัดชกมวยนักมวย "ฟ้าประกอบ รักเกียรติยิม" ก็ได้แชมป์โลก แต่อาตมาไม่ขอพูดถึงคำขอที่ชัดเจนของกลุ่มผู้สนับสนุนต่างๆ เพราะจะผิดศีล

พระรักเกียรติ ได้กล่าวให้สติถึงการใช้ชีวิตว่า ระหว่างที่ต้องโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำ ก็ได้ทบทวนความผิดในอดีตของตนพบว่า เมื่อมีตำแหน่งการเมืองสูงขึ้น ได้ใช้ชีวิตประมาทขาดศีลธรรม เพราะลุ่มหลงอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ ผิดศีล ทั้งดื่มสุรา นารี และพนัน ตอนแรกเล่นการพนันแต่น้อย ช่วงหลังถึงกับบินไปเล่นในคาสิโนต่างประเทศได้เสียครั้งละเป็น 10 ล้าน เคยเล่นเสียหนัก 20-30 ล้านบาท และเคยเล่นได้สูงสุด 109 ล้านบาท ตอนนั้นคิดว่า เป็นทางนำมาซึ่งความสุข ไม่เคยทราบว่าเป็นสุขไม่ยั่งยืนและต้องกลายมาเป็นความทุกข์ นักการเมืองที่ไปเล่นไม่ได้ชวนกัน ต่างคนต่างไปเล่น เพราะไปทำความผิด จึงไม่ชวนกันไป ส่วนครอบครัวเมื่อรู้ว่าตนเล่นการพนันก็ห้ามปราม แต่ก็ไม่ฟัง เพราะลุ่มหลงในกิเลส

พิธีกรถามว่า เหตุใดจึงไม่ไปฟังคำตัดสินศาลและหลบหนีคดี พระรักเกียรติ กล่าวว่า ตอนนั้นรู้สึกเหมือนอยู่ในทางสามแพร่งเป็นทุกข์ที่ต้องหลบซ่อน คิดว่าจะหนีไปต่างประเทศ แต่เราไม่มีทรัพย์สินซุกซ่อนอยู่ในต่างประเทศเหมือนคนอื่น ถ้าหนีก็ต้องหนี 20 ปี ทางเลือกข้อนี้จึงตัดทิ้ง ส่วนแพร่งที่ 2 คิดว่า จะฆ่าตัวตาย แต่ว่าขัดกับนิสัยซึ่งเป็นคนกล้าได้กล้าเสียใจนักเลง แพ้ก็ยอมรับ ส่วนสุดท้าย คือ คิดจะเข้ามอบตัว แต่ไม่กล้า เพราะกลัวเรือนจำจึงต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนอยู่ในกทม.ต้องตระเวนไปขออาศัยอยู่ตามแฟลต หรือ คอนโดเพื่อน เปลี่ยนที่อยู่ทุก 2-3 เดือน จากคนที่มีเงิน 100 ล้าน ต้องใช้เงินวันละ 100 บาท และมีโรคความดัน เบาหวาน ประจำตัว ต้องไปออกกำลังกาย เวลาตำรวจมาพบก็เตือนให้หลบๆหน่อย เพราะเขาไม่อยากจับ แต่เป็นเพราะมีผู้โทรแจ้งหลายรอบ

พิธีกรถามว่า เมื่อต้องถูกส่งตัวเข้ารับโทษในเรือนจำรู้สึกอย่างไร พระรักเกียรติ กล่าวว่า รู้สึกโล่งอกเพราะไม่ต้องหนีและหลบซ่อนตัวอีกแล้ว แทนที่จะทุกข์ทรมานเพราะการถูกคุมตัวกลายเป็นโล่งใจ วันรับโทษครั้งแรก คือการนับ 1 ใหม่อีกครั้ง เรือนจำได้พัฒนาไปสู่ระบบสากลมีมาตรฐานมากขึ้น แต่ก็ยังแออัด ในห้องนอนต้องนอนถึง 100 คน และวันที่ลำบากที่สุด คือวันไฟดับ ไม่มีพัดลม ทำให้หายใจลำบาก หากลุกขึ้นก็จะเสียที่นอน 14 ชั่วโมงของทุกวันต้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือนนอน ถูกขัง ใส่กุญแจ 2 ครั้งเพราะเรือนจำมีเจ้าหน้าที่น้อย ต้องขังเพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการแหกหัก ช่วงแรกๆรู้สึกอึดอัดกระวนกระวายใจ บางคนรับไม่ได้ ถึงกับเป็นบ้า เดินพูดคนเดียว นั่งคุยกับต้นไม้

"แต่อาตมาตั้งใจดูแลตัวเอง ไม่ให้ป่วย ไม่ให้ตาย เพราะไม่ต้องการตกเป็นข่าวประวัติศาสตร์ว่าเป็นรัฐมนตรีคนแรกที่ตายในคุก และยังต้องรักษาจิตใจไม่ให้เป็นบ้า โดยใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้าซึ่งเรือนจำได้จัดให้มีการสอนศาสนาของทุกศาสนา จึงเป็นครั้งแรกที่ทำให้อาตมารู้จักธรรม ตอนเป็นรัฐมนตรีไปทำบุญเป็นชาวพุทธ แต่ไม่เคยรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร ไม่รู้จัก คำว่า ทาน ศีล ภาวนา เมื่อถูกกิเลสเข้าครอบงำ ทำบุญแทนที่จะได้บุญก็ได้บาป พอบุญหมด กรรมตามทันจึงต้องตกนรกบนดิน ซึ่งอาตมาคิดว่า คดีนี้เป็นคดีแรกจึงถูกลงโทษเต็มที่ 15 ปี แตกต่างจากคดีหวยบนดินซึ่งลงโทษเพียง 2 ปี ระหว่างติดคุกอาตมาก็ทำใจอยู่เป็นปี แต่เห็นว่านักโทษหลายคดีโดนหนักกว่าเรา เช่น พล.ต.ท.ชะลอ เกิดเทศ อายุ 72 ปีแล้ว สุขภาพไม่ดี แต่ยังมีความหวังจะได้กลับบ้าน แต่กลายเป็นต้องมาเก็บของจากเรือนคลองเปรมเพื่อไปรอรับโทษประหารที่เรือนจำกลางบางขวาง ของเราจึงดีกว่าเขา ถ้าทำดี มีโอกาสกลับบ้านก่อน 15 ปี " พระรักเกียรติ กล่าว

พิธีกรถามว่า หลังจากติดคุกชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไร พระรักเกียรติ กล่าวว่า ทำให้ได้คิดว่าทำผิดแล้วต้องแก้ไข เพราะคนส่วนใหญ่คิดแต่แก้ตัวว่าไม่ได้รับความยุติธรรมและไม่ยอมรับโทษ ส่วนอาตมาทำใจยอมรับและพยายามแก้ไข โดยไม่ขอกลับไปสู่ส้นทางการเมืองทั้งที่ยังมีอายุเพียง 56 ปี เนื่องจากเส้นทางเก่าถ้าย้อนกลับไปจะพบกับความทุกข์อีก และชีวิตหลังจากนี้ขอแก้ไขด้วยการทำสิ่งใหม่ คือ ศึกษา ปฏิบัติและเผยแพร่ธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าสึกออกมาก็จะขอทำงานเลี้ยงครอบครัวในอาชีพที่ปรึกษากฎหมาย เนื่องจากก่อนหน้าที่จะเล่นการเมืองเคยเป็นทนายความ

พระรักเกียรติ ยังเปิดใจถึงครอบครัวว่า ขณะนี้ไม่มีสิ่งใดน่าห่วง ไปขอลาบวชครั้งแรกภรรยาก็อนุโมทนา ส่วนลูกเรียนจบและเป็นอา จารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งไปแล้ว ในงานบวชเพื่อนๆมากันพร้อมหน้าแม้แต่ข้าราชการในกระทรวงสาธารณสุขและผู้ที่เคยร้องเรียนในคดีทุจริตยาก็มาอโหสิกรรมให้ จึงต้องขอบคุณคนที่โทรศัพท์ไปแจ้งให้มาจับ เพราะถ้ายังหนีต่อไป วันนี้คงไม่มีแผ่นดินจะอยู่ แต่นี่ใช้เวลาเพียง 5 ปีก็สามารถกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้ ตนจึงเห็นสัจธรรมของชีวิตครบถ้วน

"ทุกวันนี้ไปเทศนาให้ชาวบ้าน นักเรียนและนักโทษฟัง ปกติคนเคยติดคุกแล้วจะอาย แต่สำหรับอาตมา อยากยกชีวิตที่มีหลายรสชาติมาสอนผู้คน และเยาวชนกลุ่มเสี่ยงให้รู้ว่าไม่มีใครหนีกรรมได้ แม้แต่คนเป็นรัฐมนตรีก็เสื่อมยศ เสื่อมวาสนาได้" พระรักเกียรติ กล่าว

พิธีกรได้ถามคำถามสุดท้ายว่า หากมีสิ่งวิเศษสามารถย้อนเวลาได้จะกลับไปบอกรัฐมนตรีรักเกียรติว่าอย่างไร พระรักเกียรติ กล่าวว่า ถ้าวันนั้นรู้ธรรม จะไม่ทำผิด จะไม่ใช้ชีวิตประมาทและไม่ยอมให้กิเลสครอบงำ จะบอกเขาว่า เส้นทางนั้นเป็นความสุขชั่วครั้ง ชั่วคราวทำให้เกิดความทุกข์และเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อาตมาจะไม่ทำผิด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดระยะเวลาให้สัมภาษณ์รายการเจาะใจ พระรักเกียรติให้สัมภาษณ์ด้วยใบหน้าผ่องใสตอบคำถามด้วยกิริยาสำรวม หากคำถามใดที่กล่าวถึงบุคคลที่สามในทางเสียหายก็จะหลีกเลี่ยงไม่วิจารณ์

อย่างไรก็ตาม พระรักเกียรติ ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหลังจบรายการถึงปัญหาการทุจริตโครงการไทยแข้มแข็งในกระทรวงสาธารณสุขว่า เพศบรรพชิตจะพูดกระทบถึงบุคคลอื่นไม่ได้ แต่อยากฝากว่าการเป็นนักการเมืองในกระทรวงสาธารณสุขต้องมีมาตรฐานเหนือข้อกฎ หมาย บางเรื่องคนทำ ทำได้ แต่ในกระทรวงสาธารณสุข เป็นสิ่งผิด เพราะมาตรฐานสูงกว่าที่อื่น สำหรับปัญหาความแตกแยกทางการเมืองและความแตกแยกทางความคิดของคนในชาติอยากให้ทุกคน ทุกฝ่ายปฏิบัติตามพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างจริงจังก็จะเกิดความสงบในบ้านเมือง

"ปัจจุบันความเสียหายบ้านเมืองไม่มีใครนำมาใส่ใจ ห่วงแต่ความเสียหายตัวเอง เรื่องความเคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่น่าทำ เพราะจะทำให้บ้านเมืองเสียหาย อาตมามีเพื่อนทุกสี ทั้งแดง เหลือง น้ำเงิน บางครั้งมาเจอกันที่วัดก็บอกว่า ไม่พูดการเมืองในวัด" พระรักเกียรติ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า อยากฝากถึงนักการเมืองที่ถูกตัดสินโทษแล้วหลบหนีคดีอย่างไร พระรักเกยรติ กล่าวว่า หากมารับโทษก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ เพราะวันนั้นไม่หนี จึงมีวันนี้ เมื่อยอมรับโทษจึงมีวันพ้นโทษ การหนี อาจเป็นเหมือนนายราเกซ สักเสนา ซึ่งถูกจับกลับมารับโทษแม้จะหนีไปอยู่นอกประเทศก็ไม่มีความสุข ที่ผ่านมาอาตมาไม่คิดว่า ศาลไม่ยุติธรรมหรือมีสองมาตรฐาน ศาลตัดสินตามตัวบทกฎหมายที่พรรคการเมืองและนักการเมืองเป็นผู้อนุมัติ จะไปกล่าวหาว่าไม่ยุติธรรมก็ไม่ได้ และที่ผ่านมาอาตมาก็ไม่เคยมีความคิดจะไปแทรกแซงศาล เมื่อสู้คดีเต็มที่ แพ้ก็ต้องยอมรับผิด ในศาลฎีกามีแต่ผู้พิพากษา ระดับผู้ใหญ่ มีคุณสมบัติเป็นประธานศาลฎีกาได้ทุกคน และองค์คณะที่ตัดสินคดีอาตมา ต่อมาก็เป็นประธานศาลฎีกาหลายคน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook