"แต้ว" เปรียบรัก "ประณัย" ออร์แกนิกไม่เร่งใส่ปุ๋ย แอบหวังมองอนาคตแบบเดียวกัน

"แต้ว" เปรียบรัก "ประณัย" ออร์แกนิกไม่เร่งใส่ปุ๋ย แอบหวังมองอนาคตแบบเดียวกัน

"แต้ว" เปรียบรัก "ประณัย" ออร์แกนิกไม่เร่งใส่ปุ๋ย แอบหวังมองอนาคตแบบเดียวกัน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เพิ่งฉลองครบรอบรัก 3 ปี สำหรับนางเอกสาว แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์ กับหวานใจ ไฮโซณัย-ประณัย พรประภา แถมล่าสุดทั้งคู่เพิ่งอวดโมเมนต์หวาน ควงกันไปเที่ยวพักผ่อนที่ประเทศอังกฤษ ทำเอาแฟนๆ ก็แอบลุ้นจะมีเซอร์ไพรส์ประกาศข่าวดีเหมือนคู่อื่นเขาบ้างหรือเปล่า

เมื่อ sanook.com มีโอกาสได้เจอ แต้ว มาโปรโมตละคร แค้น ที่ตึกมาลีนนท์ ช่อง 3 จึงได้พูดคุยถึงเรื่องราวความรัก แม้คบหาดูใจกันมาพักใหญ่แล้ว แต่ดีกรีความหวานไม่มีน้อยลง ร่วมทั้งอัปเดตสุขภาพร่างกาย ซึ่งแต้วยอมรับทุ่มสุดตัวกับบทบาทในละคร แค้น เป็นสาเหตุทำให้แอดมิดโรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ

ความรักกับ ไฮโซณัย-ประณัย พรประภา เขาเป็นกำลังใจที่ดีไหม ?

“เขาก็ช่วยรับฟังปัญหาความเครียด ถ้าเราคิดมากมีอะไรก็แชร์ปรึกษากันได้”

เขามีพาเราไปบำบัดหรือเปิดโลกเที่ยวบ้างไหม ?

“ก็มีไปบำบัดเที่ยว ก็ไปที่ไปอังกฤษอันนั้นเป็นทริปไปทำงานด้วย และแพลนไปดูบอลด้วย ไปหลายโอกาสในทริปเดียว ทริปนั้น ดีค่ะ แฮปปี้ เป็นทริปที่เรารู้สึกว่าเราได้ทำงานด้วย ไปในช่วงที่อากาศดีมาก ปกติจะไม่ค่อยชอบลอนดอนขนาดนั้น อากาศมันขมุกขมัว แต่ว่าไปตอนนั้นอากาศดีมากเลย ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ได้ไปในช่วงนั้นพอดีค่ะ”

ไปฉลองครบรอบ 3 ปี ด้วย ?

“ฉลองตั้งแต่ที่เมืองไทยแล้วค่ะ”

หวานไหมทำอาหารด้วยกัน ?

“ชอบทำอาหารอยู่แล้วค่ะ ก็เลยถือโอกาสได้แสดงฝีมือหน่อยค่ะ”

เป็นอย่างไรบ้างรัก 3 ปี ?

“ดีค่ะ ยังเรียนรู้กันเรื่อยๆ ตลอดค่ะ”

 

แต่หวานมาก ?

“ก็ยังหวานได้อยู่ 4-5 ก็ยังหวานได้ 2 1 ก็หวานอยู่”

 มีของขวัญอะไรให้กัน ?

“เป็นความหวังดีให้กันและกัน หรือเปล่านะ ก็มีนิดๆ หน่อยๆ เขียนการ์ด เป็นการบอกว่าเราพร้อมจะซัพพอร์ตกันและกันค่ะ”

ตลอด 3 ปี เป็นความรักแบบไหน ?

“เป็นการเรียนรู้ที่ทำให้เราโตขึ้น ทุกคนที่เห็นในอินสตาแกรมอาจจะดูว่าหวาน สวีต แต่มันก็มีวันที่ดีและไม่ดี แต่แต้วเรียนรู้ว่าจะอยู่ในจุดไหนของกันและกัน ก็เรียนรู้กันวันต่อวัน”

หลายคนก็เชียร์ให้มีข่าวได้แล้ว ?

“(ยิ้มเขิน) ขอบคุณที่ลุ้นค่ะ (หัวเราะ) ก็ลุ้นเหมือนกัน ลุ้นว่าชีวิตเราจะไปในทิศทางไหน แต้วไม่อยากไปกำหนดกะเกณฑ์อะไร อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติที่สุด ออร์แกนิคมันดีกว่าใส่สารเร่งปุ๋ยอยู่แล้วค่ะ (ยิ้ม)”

ระยะเวลาที่คบกันมีผลไหม ?

“ออร์แกนิคไงคะ เราก็เร่งไม่ได้ค่ะ ต้องไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น”

ดูเขาพร้อมกว่าเราอีกนะ หน้าที่การงานต่างๆ ?

“ดูยังไงคะ (หัวเราะ) แต้วว่าเรื่องนี้มันเซนซิทีฟ มันไม่ใช่แค่หน้าที่การงาน เพราะคนที่พร้อมในเรื่องของหน้าที่การงานมันมีเยอะแยะไปหมด แต่มันเป็นเรื่องของการเข้ากันของคน 2 คน เราคือคำตอบ เราคือความสุข เราจะเติมใจให้กันและกันในทุกวันหรือวันต่อไปหรือเปล่า ซึ่งมันไม่สามารถดูได้จากหน้าที่การงานหรือะไร มันคือใจของคน 2 คน”

 เวลาไปเที่ยวไหนมีเซนส์ว่าเขาจะทำเซอร์ไพรส์ต้องแต่งตัวสวยตลอดไหม ?

“ไม่ๆ ก็อยากสวยตลอดอยู่แล้ว เรารู้สึกอยากสวย เพราะเราจะได้แฮปปี้ มีแรงตื่นขึ้นมาแต่งตัว มีความสุขกับความเด๊าะแด๊ะของเรา (ยิ้ม)”

แต่ยังไม่มีเซนส์ว่าเขาจะทำเซอร์ไพรส์ขอเรา ?

“ไม่ได้คิดอย่างนั้น แต้วแค่แบบโมเมนต์ง่ายๆ ไปลอนดอนตอนเดินสวนไม่ได้ตั้งใจไปถ่ายรูปอะไร แค่เดินผ่านจะไปอีกจุดหนึ่ง พอเรากลับมาดูรูปตอนนั้นรู้สึกว่ามันดูเรียบง่าย ไม่ยุ่งยาก มันไม่ได้ต้องมีอะไรเลย แต่อยู่กับบรรยากาศดีๆ มันก็มีความสุขได้แล้ว ไม่ได้ต้องการอะไรที่พิเศษ คนใช่ เวลาใช่ มันไม่ต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่อลังการ”

มีการได้คุยกันเล่นๆ ไหม ?

"ไม่ได้คุยขนาดนั้น เป็นหยอดๆ มากกว่า ก็มีคุยๆ อย่างโน้นอย่างนี้ค่ะ เอาเป็นว่าเป็นเรื่องของคนสองคนเนอะ (ยิ้ม) ก็อยากบอกแต่มันจะไม่งามค่ะ"

ครอบครัวเขาให้ความเอ็นดูเรา ?

"ก็ขอบคุณค่ะ ก็เป็นเพื่อนคนนึงที่เราอยากซัพพอร์ตความฝันของเขา เราก็หวังว่าเขาจะคิดในแบบเดียวกันค่ะ"

ถ้าสมมติเขามาคุกเข่าขอเราพร้อมไหม?

"เอ่อ..(หัวเราะ) เอาให้เป็นเรื่องของวันนั้นค่ะ มันจะไม่ตอนนี้ไม่อยากพูด"

ช่วงนี้ดาราขอแต่งงานกัน เราก็เป็นอีกคู่ที่คนเชียร์ ?

"เราไม่ตามเทรนด์เท่าไหร่ เราก็มีเทรนด์ของเรา"

แต้วคิดว่าโมเมนต์ขอแต่งงานจะเป็นเหมือนในละครที่เราเคยเล่นไหม ?

"มันก็แอบคิดนะ แบบผู้หญิงทุกคนก็คงมีฝันบ้างแหละ แต่เราไม่ได้คาดหวังจนแบบทำให้วันๆ เราไม่เป็นอันทำอะไร (หัวเราะ) พลังงานเราก็ต้องเอาไปโฟกัสกับเรื่องอื่น เรื่องดูแลครอบครัว เรื่องหน้าที่การงานเรา วันนี้โปรโมทละคร แค้น อะไรแบบนี้ เราก็ต้องใช้พลังงานในส่วนอื่นด้วย ก็ให้มันเป็นภาพที่เราคิดแล้วเรามีความสุข แต่ว่ามันจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น ก็ให้มันเป็นเรื่องของความเป็นจริงไปค่ะ"

 

กลับมาเล่นเรื่องนี้เหมือนเป็นการจุดไฟการแสดงอีกครั้ง ?

“เหมือนเป็นแพชชั่นที่เรารู้สึก เฮ้ย มันเป็นอีกช๊อตนึงที่เราจะได้ท้าทายตัวเอง แล้วทุกๆ อย่างมันน่าตื่นเต้นสำหรับเรา มันก็อยากจะทำออกมาให้สมกับความคาดหวังของผู้จัดพี่แอน พี่ฟิว พี่ๆ ทีมงานทุกคนที่เขาไว้ใจให้เราได้รับบทนี้ค่ะ”

ซึ่งแตกจากทุกเรื่องที่เคยเล่นมาเลย ทั้งเบื้องหลังและเบื้องหน้า ?

“ส่วนใหญ่แต้ว ที่ผ่านมาอาจจะได้รับบทที่ตัวละครค่อนข้างจะไปทางขาวหน่อย ไม่ได้มีอะไรมาเจือปนในความคิดมาก แต่เรื่องนี้ทุกตัวละครมันมีความเทา อยากจะดีแต่สถานการณ์บังคับให้เขาต้องทำอะไรเพื่อตัวเอง มันมีเหตุผลรองรับการกระทำ

ตั้งแต่เวิร์กช็อปเหมือนเราพยายามใส่ความใหม่เข้าไปในละคร ทั้งเรื่องการตีความ วิธีการถ่าย วิธีการคิด เหมือนเป็นการทดลองที่เรารู้สึกว่า เราเองก็มองหาอะไรใหม่ๆ ในฐานะผู้บริโภคอยู่แล้ว ว่าละครจะพาเราไปตรงไหนได้ แล้วเรามีโอกาสที่ดีได้มาอยู่ในสิ่งที่เราก็คิดว่ามันใกล้เคียงกับการที่เราจะนำเสนออะไรใหม่ๆ ให้ละคร ซึ่งมันคือเรื่องนี้ก็เลยตื่นเต้นค่ะ”

ปกติรับแต่บทขาวๆ แต่เรื่องนี้บทจะเทามีความดราม่าเยอะ ตัดสินใจยากไหม ?

“จริงๆ ไม่ได้ว่าจะต้องรับแต่บทขาวๆ แต่มันเป็นโอกาสที่เราได้มาแบบนั้น พอเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกว่ามันน่าจะไปถึงจุดที่เราอยากจะมีส่วนตัว มันก็เลยไม่ยากเลยค่ะ แค่ชื่อพี่แอนว่าเขาสนใจเรา เราก็ขอบคุณค่ะ ไม่คิดว่าเขาจะดูแล สนใจ ใส่ใจเราขนาดนี้”

แต้วค่อนข้างเครียดในการเลือกเล่นละคร เพราะประสบความสำเร็จมาทุกบทบาทแล้ว ทำให้มีความคาดหวังเยอะตรงนี้เป็นแรงกดดันไหม ?

“ไม่นะ คือเราเข้าใจว่ามันมีหลายปัจจัยที่จะทำให้ละครประสบความสำเร็จ บางทีตั้งใจเกินไปก็อาจจะไม่ได้โอเค หรือบางทีเป็นมันเผลออะไรไม่รู้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้ ก็เลยคิดว่าตรงนั้นเป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ แค่รู้สึกว่าเรามีโอกาสได้อยู่ในโปรดักชั่นที่ทำให้ใจเราเต้น เราก็แฮปปี้แล้วค่ะ”

 เรื่องนี้เป็นการพลิกบทบาทของพี่แอฟครั้งแรกด้วย เราต้องคุยกันอย่างไร ?

“คือแต่ละคนก็แบกรับความรับผิดชอบของตัวเอง แต่ว่าสิ่งที่ไปอยู่หน้าเซ็ทแต้วก็จะพูดกับพี่แอฟว่า พี่แอฟไม่ต้องกลัวแต้วเจ็บหรืออะไรเลยนะ เต็มที่เลยพี่ เอาเลยไม่ต้องห่วง พยายามเป็นความสบายใจให้กันและกันหน้าเซ็ท เพราะเรารู้ว่าแต่ละคน ตัวเราเราก็แบกของเรา พี่แอฟก็มีความอะไรต่างๆ พยายามเป็นพาร์ตเนอร์ซัพพอร์ตกันในฐานะที่เป็นนักแสดงค่ะ”

ในเรื่องเรามีปะทะหรือกระทำแอฟเยอะไหม ?

“เราก็มีบ้างเป็นในส่วนของการเอาคืน”

หลายคนมองแอฟเป็นผู้หญิงน่าทะนุถนอม ?

“จะกลัวใช่ปะ แต่หนูไม่กลัว(หัวเราะ) เราก็แอบแบบ แอฟ มา อะไรอย่างเนี่ย มันก็มีบ้างแบบ ทักษอร ไหนสิ เป็นการปลุกพลังกันและกันโดยที่ไม่ต้องใช้คำพูดอะไรมาก ถามว่าเขาตอบกลับเรามาว่าไงบ้าง เขาก็เป็นพี่แอฟนั่นแหละ แต่เขาไปรอปล่อยในเซ็ทค่ะ”

ถ่ายซีนที่แอฟกรี๊ดเราตกใจไหม ?

“แต้วเห็นตั้งแต่ในห้องเวิร์กช็อปแล้ว แต่ว่าไม่คิดว่าเขาจะใช้เป็นตัวแบตสำรองเขาตลอด เขาจะกรี๊ดเรียกพลัง ซึ่งก็ได้ผลจริงๆ เขาดูพลังมาเต็มทุกครั้งที่กรี๊ด ส่วนเวลาเขาร้ายเราก็เห็นในบทนะ แต่แต้วว่ามันก็มีสะดุ้งเหมือนกันในความแนบเนียนของเขา สมมติคนเกลียดกันจริงๆ มันไม่ฉันเกลียดแก มันก็จะมาในความดูปลอดภัย ดูอินโนเซนท์ ไม่มีอะไรไม่ทำไรเลย ซึ่งพี่แอฟถ่ายทอดมาได้ดีมากค่ะ”

ตอนเขารุนแรงกับเราตกใจนี่ แอฟ ทักษอร จริงหรือเปล่า ?

“เราคาดหวังให้เขามาเต็มที่อยู่แล้ว คือเราก็เอาใจช่วย เรารู้สึกว่ามันท้าทายเขามากๆ เขาก็เคยยอมรับเอง เขายังไม่คิดว่าเขาจะได้หรือเปล่า เราก็เป็นฟีลเอาใจช่วยด้วย แต่พออยู่ในซีนเราก็แบบ อื้ม คุณแอฟ ได้เลย”

 ระหว่างทางมีล้ากับตัวคาแร็กเตอร์นี้ไหม ?

“มีนะ มันเหมือนไม่สุดเพดานสักที เหมือนมันต้องไปเรื่อยๆ เราก็เรียนรู้กับตัวละครไปด้วยเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าดันจะแค้นให้ได้ขึ้นมาอย่างเดียว แต่เหมือนเป็นการต่อสู้กับตัวเราข้างในด้วย อันนั้นคือสิ่งที่แต้วว่ามันยากกับแต้ว บางทีมันก็ทำให้เราดิ่งเองในชีวิตตัวเองด้วย มันเหมือนจะไม่กดดันแต่มันก็กดดันในทุกๆ วันของการทำงาน แต่ก็เป็นแรงขับเคลื่อนให้เราไปต่อๆ”

เรามองว่าอาจจะมีผลต่อร่างกายด้วยไหม ?

“ใช่ แต้วว่าคือสุขภาพมันเป็นเรื่องวิธีคิด ความไม่ยอมแพ้ของเราด้วย มันมีปัจจัยอื่นกดดันอีกหลายๆ อย่าง เลยค่อนข้างเครียดเหมือนกันเรื่องนี้”

อาการที่เป็นหนักสุดๆ ช่วงนั้น ?

"ช่วงนั้นคืออหิวาตกโรค ช่วงต้นปีที่กำลังจะใกล้ๆ ปิดกล้อง แล้วก็ติดเชื้ออีกหลายอย่างเลยค่ะ คือเชื้อโรคมันมีอยู่แล้วแหละ แต่ร่างกายเรามันอ่อนแอพร้อมรับเชื้อทุกอย่าง ก็เลยได้แอดมิดเลย"

เคยถามตัวเองไหม ทำไมตัวเองถึงป่วยได้ขนาดนี้ เพราะเห็นแต้วเป็นคนสตรองออกกำลังกาย ดูแลตัวเองดีมาก ?

"ใจเราได้ แต่ร่างกายมันบอกว่าปล่อยฉันไปเถอะ มันเป็นการเรียกร้องของร่างกาย ซึ่งเราก็ฝืนเขาอยู่นะช่วงที่ไปถ่ายละคร คือคนอาจจะมองว่าได้ใจไปทำงาน แต่เราก็รู้สึกว่าต่อไปเราไม่ควรใจร้ายกับร่างกายเราขนาดนั้น เพราะเราไม่รู้ว่ามันเวิร์สต์เคส(เลวร้ายที่สุด)คืออะไร ก็ถือเป็นบทเรียนว่าเราอาจจะต้องฟังเขามากขึ้น เพราะว่ามันก็มีแต่ตัวเรานี่แหละที่รู้ดีว่าร่างกายเราเป็นยังไง"

ที่ไม่ได้ไปร่วมงานบอลช่อง 3 เพราะมีปัญหาเรื่องสุขภาพด้วย ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น ?

"มันคือตั้งแต่ตอนปิดกล้องนี่แหละค่ะ เรารู้สึกว่าเป็นไข้ทุกวัน พอเราไปตรวจหาจากการที่ไปตรวจร่างกายตรวจสุขภาพ ก็รู้ว่าเหมือนมันมีค่าเม็ดเลือดอะไรที่มันดูจะผิดเพี้ยนไปจากปกติ ทั้งๆ ที่มันไม่ได้มีการติดเชื้ออะไรในร่างกายแล้ว ก็หาหมอทุกอย่างเลย หมอดูก็ไปหา(หัวเราะ) หมอจีน หมอฝรั่ง ไปหาหมด ก็ไปในทางเดียวกันว่ามันมีความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน แต่โชคดีที่มันไม่ได้รุนแรงถึงขั้นแพ้ภูมิอะไรที่มันซีเรียส"

 แล้วต้องรักษายังไง ?

"ต้องปรับวิธีคิด ต้องไม่เครียด ไม่สู้กับตัวเองเกินไปค่ะ หมอบอกว่าช่วงนั้นเราติดเชื้อเยอะ แล้วภูมิคุ้มกันมันเหมือนต้องเทไปฝั่งหนึ่งเหมือนรถที่พวงมาลัยหักเลี้ยวแล้วมันไม่กลับมาศูนย์ถ่วงเหมือนเดิม ก็ต้องค่อยๆ อย่าไปอัดอะไรมาก โชคดีที่มันเป็นช่วงที่ปิดกล้องไปแล้ว มีเวลาได้พัก เพราะช่วงนั้นตัวรุมๆ ทุกวัน ทำอะไรก็เหนื่อย ออกกำลังกายก็ไม่ได้

จากออกกำลังกายอาทิตย์ละ 3-4 วัน ก็ไม่ออกเลย เพราะหมอบอกไม่อยากให้ใช้ร่างกายหนัก ก็เลยเป็นเหตุให้ไปงานไม่ได้ เพราะถ้าไปเต้นอยู่กลางแจ้งก็จะไม่ดี แต่ตอนนี้ดีขึ้นค่ะ แต่ก็ยังไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถือว่าค่อยๆ เรียกกลับมา เพิ่งจะเริ่มกลับมาออกกำลังกายอาทิตย์ละวันสองวัน"

หมออยากให้ซ่อมแซมยังไงบ้างในส่วนที่มันใช้เปลืองไปแล้ว ?

"เขาอยากให้เราปรับวิธีคิดมากกว่า เพราะสุดท้ายมันรีเฟล็กซ์กันหมดเลย ความเครียดกับสุขภาพ เราต้องฟังร่างกาย อย่าไปตะบี้ตะบันตื่นเช้าไปออกกำลังกายทุกวัน มันต้องมีช่วงที่ได้พักบ้าง กินวิตามิน ทานและนอนให้เพียงพอ ดื่มน้ำ จากที่ดูแลตัวเองอยู่แล้วก็ยิ่งมาดูในรายละเอียดมากขึ้น เรียกว่าบาลานซ์ดีกว่า"

ต้องใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ไม่หักโหมเหมือนเมื่อก่อน ?

"ค่ะ มันเหมือนต้องบาลานซ์ ไม่ใช่เหมือนว่าเราจะไม่ป่วย เราต้องบาลานซ์ เหนื่อยก็พักอย่าไปโหดกับตัวเองเกินไป"

เราเป็นคนมุ่งมั่นตั้งใจจริงจัง ต้องวางลงยังไงให้มันบาลานซ์ ?

"พอเหมือนเรารู้ผลลัพธ์แล้วว่าถ้าเรายังเป็นแบบนี้ต่อไป สุดท้ายมันจะไปสู่อะไร ซึ่งเราเจ็บปวดมาก มันก็ขยาดแล้วอ่ะ เราไม่อยากกลับไปเป็นจุดนั้น มันก็เลยเหมือนกึ่งๆ คอยเตือนตัวเองอยู่ตลอดว่าใจเย็น สู้ไปเปล่า ก็เหยียบเบรคเอาไว้นิดนึง เราก็ยังเป็นเรานี่แหละ ปกติจะเป็นคนต้องโปรดักทีฟ เราก็จะพยายามไม่กลับไปอยู่จุดนั้น ให้เราได้พักบ้าง ได้มีเวลาชาร์ตแบตบ้าง เราก็ค่อยกลับไปทำงาน"

บทที่แต้วเล่นต้องใช้พลังเยอะ มีผลต่อเรื่องละครไหม ?

"มันก็คือการทำงาน แต้วว่าถ้าเราบาลานซ์ได้ มันก็ไม่มีผลอะไร ตอนนี้สุขภาพแทบจะ 80-90 เปอร์เซ็นต์แล้วค่ะ ก็ถือว่ากลับมาโอเคมากๆ"

จะทำงาน 6 เดือน พัก 6 เดือนเลยไหม ?

"ไม่ขนาดนั้น แต้วว่าทำงานได้หมด แต่ว่าเราแค่ต้องมีลิมิตกับตัวเรา อย่าแบบว่า ไหวค่ะพี่ ไหวค่ะ ทั้งๆ ที่ข้างในไม่แน่ใจจะเป็นลมอยู่แล้วก็บอกว่าไหวค่ะ คืออย่าใจร้ายกับตัวเองขนาดนั้น อันไหนไม่ไหวเราก็ต้องบอกว่าไม่ไหวจริงๆ เพราะว่ามันไม่มีใครมารู้เท่าเรา แล้วสุดท้ายเราก็เป็นคนรับผลเนาะ"

ช่วงนี้เลยเห็นเที่ยวพักผ่อนบ่อยมากขึ้น ?

"ค่ะ ก็พยายามบาลานซ์ ทำงาน รับงานค่ะ รับได้อยู่(หัวเราะ) เราก็ดูแลตัวเองด้วยค่ะ ถามว่าต้องมียารักษามั้ย เป็นวิตามินค่ะ ให้เสริมความแข็งแรง"

เรื่องสุขภาพอนาคตหากแต่งงานมีลูก จะมีผลทำให้มีลูกยากด้วยไหม ?

"เราดูแลตัวเองมันก็เพื่อความสุขของเรา แต้วว่าความสุขมันเริ่มจากสุขภาพก่อน แต้วรู้เลยว่าช่วงที่เราสุขภาพไม่ดี มันแฮปปี้ยากมาก เพราะฉะนั้นไม่ได้จะต้องมีสุขภาพดีเพื่อมีลูกหรือแต่งงาน แค่ทุกวันตื่นมาแล้วเรามีเอ็นเนอร์จีที่จะยิ้ม ลงไปกินข้าวกับแม่ ทำให้ทุกคนมีความสุข มันง่ายๆ แค่นั้นเลย แล้วทุกอย่างมันก็จะตามมา ความสุขมันเริ่มจากสุขภาพที่ดีก่อนเลย เราจะได้มีพลังไปทำอะไรค่ะ"

 

อัลบั้มภาพ 30 ภาพ

อัลบั้มภาพ 30 ภาพ ของ "แต้ว" เปรียบรัก "ประณัย" ออร์แกนิกไม่เร่งใส่ปุ๋ย แอบหวังมองอนาคตแบบเดียวกัน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook