"พิธา" มั่นใจ ก้าวไกลเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลได้แน่นอน เชื่อ 7 ส.ส.ถูกร้องเรียน ชี้แจงได้หมด
"พิธา" ขอคนไทยอย่ากังวล มั่นใจพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ เชื่อ ส.ส.ก้าวไกล 7 คนมีเรื่องร้องเรียนชี้แจงได้หมด กกต.ยังไม่รับรอง ไม่ส่งผลให้ตั้งรัฐบาลสะดุด
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ให้สัมภาษณ์ขณะลงพื้นที่ขอบคุณประชาชนที่จังหวัดลำปาง ลำพูน ว่า ช่วงเช้าไปลงพื้นที่ลำปาง รู้สึกดีใจ ได้รับกระแสตอบรับจากประชาชนเขต4 และเขต1 และเป็นพื้นที่ที่ลงมาก่อนสงกรานต์ และหลังสงกรานต์ หลังเลือกตั้งยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และหวังว่าจะช่วยกันทำงานจนกระทั่งได้รับการเปลี่ยนแปลงในจังหวัดลำปางให้ได้
นักข่าวถามถึงกรณีกกต.ที่ยังไม่รับรอบส.ส.เป็นของก้าวไกล 7คนนั้น นายพิธา ระบุว่า ขณะนี้ ยังไม่ทราบว่าถูกร้องเรียนประเด็นใดบ้าง ซึ่งได้ทราบข้อเท็จจริงจากสื่อมวลชนว่ายังไม่รับรอง ส.ส.จาก กกต.71คน เป็นของพรรคก้าวไกล 7คน ซึ่งเป็นของพรรคร่วมทั้งหมด 30คนอีก 41คนเป็นของฝ่ายค้าน ซึ่งของพรรคก้าวไกลยังไม่มีใครทราบเหตุผล เพราะสอบถามไปที่กกต.จังหวัดก็ยังไม่ทราบเหตุผลเช่นเดียวกัน คงต้องรอให้เป็นกระบวนการของกกต.ว่าเกิดจากเรื่องใด และได้สอบถามเจ้าตัวไปก็ยังไม่มีใครทราบว่าเรื่องอะไร ซึ่งยังความสับสนอยู่เล็กน้อย
ส่วนจะมีผลในการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่นั้น มองว่า ไม่น่าจะมี เพราะเป็นฝั่งของเรา30คน เป็นฝั่งที่ไม่ได้เป็นรัฐบาล41คน ซึ่งฝั่งของเราจำนวนไม่ได้เยอะ และหากแต่ละพื้นที่ได้ทราบถึงเหตุและผลก็เชื่อว่าจะชี้แจงได้ทุกกรณี ไม่น่ามีอะไรเป็นที่น่ากังวลใจหรือทำให้การจัดตั้งรัฐบาลสะดุดได้
นักข่าวถามว่า วันนี้ครบรอบ1เดือนของการเลือกตั้งแล้ว อยากจะเรียกร้องอะไรไปทางกกต.หรือไม่ พิธา ตอบว่า ตนเป็นคนมีส่วนได้ส่วนเสีย หากดูจากประชาชน และเครือข่ายภาคประชาชน มีการแสดงให้เห็น เปรียบเทียบให้ดูกับประเทศตุรกี ว่าเลือกตั้งวันเดียวกันแต่ประเทศตุรกีทำงานแล้ว ของประเทศไทย ยังมีระยะเวลาที่ต้องใช้เวลาอยู่ ซึ่งต้องอธิบายให้เข้าใจว่าระบบการปกครองของตุรกีกับประเทศไทยไม่เหมือนกันอาจจะต้องใช้เวลานาน ก็ให้เวลากกต.ทำงานอย่างมีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพให้มากที่สุด แต่ประชาชนคนไทยก็รอไม่ได้ เพราะต้องการให้มีรัฐบาลที่เริ่มทำงานได้ทันที
ส่วนเริ่มมีการรับรองส.ส.แล้วกรณีตำแหน่งประธานสภา ได้ข้อยุติหรือยังนั้น นายพิธา ยืนยันว่า มีความคืบหน้าไปพอสมควร แต่รอดูจังหวะเวลา ว่าในช่วงที่เปิดสมัยประชุมและต้องเลือกประธานสภา จังหวะที่เหมาะสมต้องเป็นช่วงนั้น เมื่อถามว่ายืนยันได้ว่าก้าวไกลจะไม่ทิ้งตำแหน่งนี้หรือไม่ นายพิธา ตอบว่า ให้รอฟังจังหวะที่เหมาะสมแต่เป็นการพูดคุยภายในของก้าวไกลกับเพื่อไทยและมีความคืบหน้าแน่นอน
เมื่อถามว่าตำแหน่งประธานสภา มีการมองว่าหากเป็นของพรรคเพื่อไทยจะทำให้การตั้งรัฐบาลของก้าวไกลยากขึ้นหรือไม่ นายพิธา ระบุว่า ตำแหน่งประธานสภาพเป็นตำแหน่งที่สำคัญ แต่มีหลายปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงความเป็นกลาง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งรัฐบาลอะไรเท่าไร
ส่วนจะมีการฟ้องกลับใครหรือไม่ในคดีเรื่องหุ้นสื่อไอทีวี นายพิธา ระบุว่า คณะทำงานกฎหมายของพรรครวบรวมข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่ปรากฏหรือไม่ปรากฏอยู่ในหน้าสื่อก็ตาม ที่มีผู้หวังดีส่งมาให้เรื่อยๆ ก็ได้รวบรวมไว้ ส่วนจะดำเนินคดีหรือไม่ ยังไม่ได้เป็นปัจจัย ที่ตัดสินใจในตอนนี้ แต่มีการสะสมข้อมูลที่ไม่ชอบมาพากลอยู่เรื่อยๆ แล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้ง ทั้งนี้ย้ำว่า ไม่ได้กังวลใจการเรื่องคดี ถ้าการตัดสินเป็นไปอย่างเที่ยงธรรมตามหลักฎีกา ไม่ว่าจะเป็นศาล รธน ศาลฎีกา และศาลอาญา ตนมั่นใจว่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างแน่นอน
นักข่าวถามถึงกรณีที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาขิกพรรคพลังประชารัฐ ไปยื่นเอกสารหลักฐานเพิ่มเติม กรณีหุ้นไอทีวีกับกกต. โดยระบุว่า การโอนหุ้น เป็นการโอน ไม่ได้สละมรดกนั้น นายพิธา ระบุว่า “ ข้อเท็จจริงต้องแยกกัน โอนก็คือโอน สละก็คือสละ และตามที่เคยให้สัมภาษณ์ไป ว่าไม่ใช่เป็นการขายหุ้น แต่เป็นการโอนหุ้น ส่วนเรื่องมรดกขอให้รอฟังอีกครั้ง”
นักข่าวถามอีกว่า ในฐานะทายาท นายพิธายืนยันว่าเป็นการสละมรดกส่วนนี้หรือไม่ นายพิธา ตอบว่า ไม่ยืนยัน แต่ต้องไปพูดคุยกันอีกครั้ง เพราะการสละมรดกกับการโอนเป็นคนละเรื่องกัน แต่ที่ยืนยันได้ การโอนหรือการถือหุ้นไอทีวี ทำในฐานะผู้จัดการมรดก ไม่ใช่ทำในนามส่วนตัว
ส่วนกรณีที่ นิวัตไชย เกษมมงคล เลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ระบุว่า นายพิธาได้ยื่นเอกสารต่อปปช. กรณีการถือหุ้นไอทีวี พิธา โดยแนบเอกสารคำสั่งศาล ว่า เป็นผู้จัดการมรดกมานั้น นายพิธา ระบุว่า ตนเองยื่นเอกสารแล้วตามที่เลขา ปปช.ระบุ
ส่วนคดี กกต. ขณะนี้ยังไม่ได้เห็นว่า กกต.สงสัยหรือจะพิจารณาประเด็นใด ก็จะตอบสนองให้ตรงกับประเด็นที่กกต.ตั้งเรื่องมา ทุกวันนี้ยังไม่มีการตั้งเรื่องมา ไม่ได้รู้สึกหสั่นไหว ไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร และทุกครั้งที่มีการพูดคุยกัน เลขา ปปช. ได้พูดแล้วตนค่อนข้างมีการรัดกุมในการเตรียมเอกสารยื่นกับปปช.ตั้งแต่สมัยเป็น ส.ส.สมัยอนาคตใหม่
นักข่าวถามว่า กรณีที่ เลขาปปช.ระบุถึงการตรวจสอบเอกสารไปที่ศาล แต่ศาลไม่มีต้นขั้วอยู่แล้วนั้น นายพิธา มีต้นขั้วหรือไม่ นายพิธา ตอบว่า เป็นเอกสารที่แต่งตั้งให้ตนเองเป็นผู้จัดการมรดกตั้งแต่ปี2550ตอนนี้ล่วงเลยมา 16-17ปีแล้ว อาจจะไม่มีเอกสารตรงนั้น แต่ถึงเวลาถ้าเป็นเอกสารที่ต้องพูดคุยกันก็รอให้ กกต.ขอมาก่อนดีกว่า ค่อยไปตอบกันในเรื่องนั้น
ทั้งนี้ นายพิธา อยากจะให้ความมั่นใจกับประชาชนที่เลือกพรรคเรามา การจัดตั้งรัฐบาลยังเดินหน้าไปเรื่อยๆ คณะทำงานยังทำงานกันอย่างเต็มที่ เพื่อพูดคุยปีญหาของปีะชาชน อย่างทีเรื่องน้ำประปามาก็ได้มอบหมายให้คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ และการลดความเหบื่อมล้ำให้ไปศึกษาเบื้องต้น การเดินหน้าการแก้ไขปัญหาของประชาชนยังเป็นวาระสำคัญ แม้มีขวากหนาม หรือมีเรื่องการเมืองมาก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสามารถทุกอย่างชี้แจงได้ด้วยข้อกฎหมายและหลักฐานไม่มีอะไรน่ากังวลใจ
ส่วนที่อยากจะสร้างขวัญและกำลังใจประชาชนอย่างไรได้บ้าง เพราะอาจมีอำนาจบางอย่าง นายพิธา ระบุว่า ประเทศเราควรขับเคลื่อนด้วยความหวัง ไม่ใช่ความกลัว แน่นอนว่าอาจมีเกมการเมืองหลายเรื่องที่อาจทำให้รู้สึกเบื่อ กังวลใจ หรือกลัว ถ้าหากรู้สึกตามเมื่อไหร่ก็จะแพ้ทันที เพราะฉะนั้น เราต้องมีความหวังอยู่ตลอดเวลาว่าทุกอย่างเป็นไปได้ในประเทศไทย
ทั้งนี้ นายพิธา ยังได้เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงกรณีคนไทยในต่างประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติกังวลกับสถานการณ์ทางการเมืองจนอาจนำไปสู่การชุมนุม และไม่กล้ามาเที่ยวในประเทศไทยได้นั้น ขอให้ความเชื่อมั่น และขอให้มาท่องเที่ยวประเทศไทยได้ตามปกติ ไม่ต้องกังวลว่าจะมีการชุมนุม และยังมั่นใจพรรคก้าวไกลจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน นายพิธา ยังย้ำถึงการแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ต้องทำให้ระบบดีด้วย เพื่อทำให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนจึงมีหลักคิดสำคัญในการออกแบบระบบ คือ จะต้องเป็นระบบที่ 1.ไม่มีใครอยากโกง 2.ไม่มีใครกล้าโกง 3.ไม่มีใครโกงได้ 4.ไม่มีใครโกงแล้วรอด
หากผลักดันให้นโยบายเรื่องการเปิดเผยข้อมูลรัฐ และการนำเทคโนโลยีมาช่วยจับโกง สำเร็จได้ภายใน 100 วัน ตามที่ตั้งไว้ เชื่อว่าต้นปีหน้า ไทยจะมีข่าวดีว่า คะแนนและลำดับของประเทศไทยใน CPI จะสูงขึ้นกว่าเดิมแน่นอน และประชาชนจะยิ่งเชื่อมั่นศรัทธาในระบบการเมืองการปกครองตามครรลองประชาธิปไตย