รัฐบาลหวั่นหวัด2009ระบาดระลอก2
เตือนประชาชนอย่าประมาท ใส่ใจล้างมือ-สวมหน้ากากอนามัย ประสานผู้ว่าฯ ทั่วประเทศเร่งเตือนประชาชน วอนกลุ่มเสี่ยงรีบรุดฉีดวัคซีนป้องกันโรคถึงเดือน มี.ค.
ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 16.40 น. พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ รองนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อมป้องกัน และควบคุมแก้ไขสถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่ ว่า ที่ประชุมได้แสดงความเป็นห่วงถึงการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในระลอกที่ 2 ซึ่งอาจมีมากขึ้นตั้งแต่ขณะนี้ไปจนถึงฤดูร้อน โดยได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนป้องกันดูแลตัวเอง และขอให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงมาฉีดวัคซีนให้มากขึ้น ซึ่งยืนยันว่า ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด โดยกระทรวงสาธารณสุขจะเปิดให้กลุ่มเสี่ยงมาฉีดวัคซีนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 11 ม.ค. จนถึงภายในเดือน มี.ค.นี้ ยกเว้นคนท้องที่จะขยายให้จนถึงเดือน พ.ค.
พล.ต.สนั่น กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือถึงการระบาดของโรคไข้หวัดนก ซึ่งพบว่า เป็นเวลาปีกว่าแล้วที่ไม่มีการระบาดของโรคดังกล่าวในประเทศไทย แต่พบว่า ยังมีการระบาดในต่างประเทศ จึงจำเป็นต้องระวังป้องกันต่อไป ไม่ให้เกิดการระบาดขึ้นอีก ซึ่งได้กำชับให้เฝ้าระวังเป็นพิเศษในสนามชนไก่ ทั้งในส่วนของคนที่อุ้มไก่ชน และตัวไก่ชนเอง และได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดูแลปัญหานกปากห่างที่ปักหลักอยู่ในประเทศไทยถาวร ซึ่งจะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นทุกวัน รวมทั้งนกพิราบที่เป็นพาหะของโรค
ด้าน นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาเริ่มมีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่แบบเล็ก ๆ แล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้เราต้องหันกลับมาดูแลป้องกันให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นอาจเกิดการระบาดครั้งใหญ่ได้อีก ทั้งนี้ ได้ขอให้คณะกรรมการฯ ประสานไปยังกระทรวงมหาดไทยให้สั่งการไปยังผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ ให้เร่งประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนในเรื่องนี้ โดยให้สวมหน้ากากอนามัย หรือล้างมือให้สะอาด หากเป็นไข้ก็ให้หยุดอยู่กับบ้านเป็นเวลา 3 วัน และถ้าป่วยมากให้รีบไปพบแพทย์
นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในระลอกที่ 2 ขณะนี้พบว่า มีการระบาดเพิ่มขึ้นแล้วกว่า 10% ซึ่งถือเป็นสัญญาณว่า เริ่มจะมีการระบาดมากขึ้นแล้ว โดยมีผู้เสียชีวิตแล้ว 4 คน ส่วนใหญ่จะอยู่ในชนบทไกล ๆ ซึ่งผิดกับการระบาดครั้งแรกที่อยู่ในเมือง เนื่องจากผู้ป่วยมักจะมาหาหมอช้า และบางทีไปคลินิกก่อน จึงขอเตือนประชาชนที่คิดว่าโรคดังกล่าวหายไปแล้ว ให้เฝ้าระวังเพิ่มขึ้น