รอยทางตามรางรถไฟ ทรงกลด บางยี่ขัน
ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย (Trans-Siberian Railway) หรือ ทรานซิบ (Transsib) เครือข่ายทางรถไฟ ที่เชื่อมโยงกรุงมอสโก
ของรัสเซีย, มองโกเลีย,จีน และทะเลญี่ปุ่นเข้าด้วยกัน เป็นที่รู้จักในหมู่นักเดินทางว่า ทางรถไฟสายนี้ยาวที่สุดในโลก แค่นี้ก็น่าสนุกแล้ว สำหรับ ทรงกลด บางยี่ขัน นักเดินทางตัวยงอีกคนหนึ่งจากค่าย a day
คาบเกี่ยวปลายเดือนธันวาคม 2549 ถึง ต้นเดือนมกราคม 2550 เขาตัดสินใจใช้เวลาข้ามปี ข้ามทวีปด้วยรางรถไฟขบวนนี้ ก่อนจะปล่อยบันทึกเดินทางเล่มเขื่องที่ชื่อว่า "ดาวหาง เหนือทางรถไฟ" ออกมาอีก 3 ปีให้หลัง ผู้ชายไม่ยอมประหยัดยิ้มคนนี้ยอมรับถึงการก้าวเท้าออกสู่โลกกว้างในแต่ละ ครั้ง นั่นคือการเริ่มต้นของหนังสือเล่มใหม่ในมือแล้ว
ถึงการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้สิ้นสุดลงตรงความรู้สึกอิ่มเอม หรือแฮปปี้เอนดิ้งตามพล็อตละครที่นิยมทำกัน คนจำพวก "ประสบการณ์นิยม" อย่างเขาถือว่า นั่นเป็น "สิ่งดี" อีกเรื่องที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิต
สบจังหวะบนออฟฟิศย่านเอกมัย เจ้าตัวได้ยื่นตั๋วรถไฟให้เรานั่งตามไปดู "ดาวหาง" ของเขาอีกครั้ง...
ทริปทรานส์ไซบีเรียเริ่มมาจากตรงไหน
มันเป็นเรื่อง ตลกมากเลยนะ ผมไม่รู้จักเส้นทางสายนี้เลย ทั้งๆ ที่มันโคตรดัง (เน้นเสียง) แล้วการทำนิตยสารจะมีช่วงที่หยุดนานๆ ก็คือ สงกรานต์กับปีใหม่ ซึ่งปีใหม่มีเวลาหยุดประมาณ 2 อาทิตย์ก็คิดว่าไปเที่ยวได้แล้ว แต่ก็ยังไม่รู้จะไปไหน ก็เลยใช้วิธีไปตามร้านหนังสือภาษาอังกฤษดูว่าไกด์บุ๊คส์เขามีอะไรแนะนำ ก็หยิบเล่มรวมสถานที่เที่ยวตลอดปีของโลนลีแพลนเนตขึ้นมากรีดๆ ดู แล้วก็พบว่าทุกที่ที่เขาแนะนำคือสถานที่ อย่างแกรนด์แคนยอน ขั้วโลกใต้ ปีนผาที่นั่น ล่องแก่งที่นี่ ซึ่งมันก็น่าสนใจ จนเปิดมาเจออันหนึ่งเป็นรูปรถไฟ เขาจะเขียนหัวว่า เส้นทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย อะไรวะ ทุกที่เป็นเมือง แต่นี่แนะนำเส้นทางรถไฟ เออ แปลกว่ะ ก็อ่านต่อไปจนเจอคีย์เวิร์ดบางคำ เป็นเส้นทางรถไฟที่ยาวที่สุดในโลก ก็ปิ๊งแล้ว แปลกขนาดนี้ น่าสนใจ ก็เลยเก็บคำนี้มาไว้ในใจ ทางรถไฟสายหนึ่งผ่าน 3 ประเทศ คิดว่าต้องไปที่นี่แน่ เจอกัน รู้แค่นั้น
พอกลับมาถามเพื่อนว่ารู้จักที่นี่ไหม เพื่อนก็ว่าว่า เออ ดังมากเลยนะเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ทุกคนรู้จัก แต่ไกด์บุ๊คส์ไม่เคยมีใครเขียนถึง ก็หาข้อมูล ซึ่งถ้าปกติเวลาเราไปเที่ยวสักที่จะง่ายมาก อย่างไปเกาหลี ก็ดูว่ามีเมืองไหนน่าไปบ้างแล้วก็ไป แต่รถไฟสายทรานส์ไซบีเรียเนี่ย มันต้องเตรียมตัวจากอะไรล่ะ ก็หาไปเรื่อยๆ จนพบว่า อ๋อ ต้องเตรียมตัวจากเที่ยว 3 ประเทศ จีน มองโกเลีย และ รัสเซีย ก็หาข้อมูลของ 3 ประเทศ เรื่องเตรียมตัวก็อาจจะไม่ใช่ปัญหาเท่ากับว่า แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าจากเมืองนี้ไปเมืองนี้ขึ้นรถไฟสายไหน แล้วขึ้นจากขบวนนี้ไปเส้นนี้แล้วมันยังนับเป็นทรานส์ไซบีเรียอยู่ไหม ซึ่งมันยากมาก นึกภาพนั่งรถไฟจากมองโกเลีย แล้วมันมีกี่ขบวน ผ่านไหม แล้วรัสเซียเมืองไหน ใช่ ไม่ใช่
อีกอย่างหนึ่ง เขาบอกว่า ถ้าคุณนั่งรถไฟขบวนนี้รวดเดียวแบบไม่ลงนะ 6 วันถึง ก็เปลี่ยนเวลา 5 ครั้ง ซึ่งผมว่ามันโคตรเท่ ถ้าเราขึ้นเครื่องบินเราจะมีเวลาแค่ 2 ครั้ง ขึ้นเครื่องทีหนึ่ง เมืองไทย แล้วก็ปลายทาง จีน หรือรัสเซีย ก็เปลี่ยนเวลาอีกครั้ง บนเครื่องก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเวลาอยู่แล้ว แต่ทางรถไฟที่นี่เราต้องเปลี่ยน 5 ครั้ง ต่อให้คุณไม่ลง แต่ก็ต้องเปลี่ยนเวลา 5 ครั้ง เพราะตารางรถไฟที่จะต้องเช็คระหว่างการเดินทาง ต้องใช้เวลา ณ ตอนนั้น อีกอย่างหนึ่งที่แปลกก็คือ มันคือการเดินทางจากเอเชียไปยุโรป จากจีนไปรัสเซีย ซึ่งเราเจอสายสัมพันธ์เยอะมาก จากจีนค่อยๆ ไล่ไปเรื่อย แล้วจุดตัดมันตัดตรงไหนล่ะ จุดที่มีความก้ำกึ่งระหว่างเอเชียกับยุโรปอยู่ตรงไหน
แล้วเราก็พบว่า เฮ้ย มันคือการเดินทางจากจัตุรัสเทียนอันเหมินไปหาจตุรัสแดงนี่หว่า เหมาเจ๋อตุงไปหาเลนิน ย้อนกลับไปเรื่องคอมมิวนิสต์ จีน มองโกเลีย รัสเซียก็เป็นคอมมิวนิสต์ เจอข้อแตกต่างทางวัฒนธรรมเยอะมาก จากงิ้วไปสู่บัลเลต์ การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมเยอะๆ นี่ก็สนุกมาก
หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อย เมื่อเริ่มเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง
ผม รู้สึกเฉยๆ กับการเดินทางยาวๆ นะ มันก็เหมือนการเดินทางสั้นๆ นั่นแหละ ไปเที่ยวเมืองๆ หนึ่ง แทนที่เราจะกลับบ้าน ก็ไปต่ออีกเมืองหนึ่งเท่านั้นเอง ก็คิดเหมือนเที่ยวปกติ แต่ความน่ากลัวที่จะเกิดขึ้นก็คือ ถ้าซื้อตั๋วรถไฟใบแรกไม่ได้ล่ะ เราไปปักกิ่งแล้วซื้อตั๋วใบนั้นไม่ได้ หมด หาไม่เจอ หรือเต็ม เพราะมันวิ่งสัปดาห์ละครั้ง แล้วเราจะทำยังไงวะ คือเราบอกทุกคนว่าเราจะไปทางรถไฟสายนี้ แต่เราไปไม่ได้เพราะตั๋วเต็ม จะยังไงวะ
ถือว่าเป็นการเดิมพันระหว่างข้อมูลในไกด์บุ๊คส์กับสถานการณ์จริงไปในตัว?
อย่าง เสิร์ชอินเทอร์เน็ตข้อมูลก็ค่อนข้างน้อยอยู่แล้ว ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลจากฝั่งฝรั่งที่นั่งรถไฟสายนี้จากยุโรปมาเอเชีย มันไม่ค่อยมีใครหรอกที่บินลงปักกิ่งแล้วนั่งย้อนกลับไป เราก็เลยแบบ...ซื้อตั๋วปักกิ่งซื้อที่ไหนวะ หาข้อมูลก็หาไม่เจอ ก็เจอที่ร้านขายทัวร์ซึ่งขายแพงกว่าราคาจริงเกือบ 2 เท่า อันนั้นไม่กลัว คือซื้อตั๋วแพงดีกว่าไม่ได้ไป แต่ที่กลัวคือว่า ตั๋วมันเป็นยังไงล่ะ ตั๋วเที่ยวรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียเป็นตั๋วเหมาเหรอ จะลงตรงนี้เพื่อต่อรถหรือเปล่า แวะลงระหว่างทางได้ไหม ซึ่งรายละเอียดส่วนใหญ่มันถามไม่ได้ ในเว็บไซต์ก็ไม่มีคำตอบ สิ่งเดียวที่เรารู้สึกก็คือต้องเจอคนขายแล้วล่ะ ห่วงเรื่องนี้เรื่องเดียว
เทคโนโลยีช่วยไม่ค่อยได้เท่าไร?
ช่วยได้เยอะนะ ครับ สำหรับทริปนี้ อย่างน้อยเห็นรูปว่าตู้รถไฟของเขาเป็นยังไง นึกภาพไป 6 วัน เราถามตัวเองตลอดเลยว่า แล้วจะอยู่ยังไงวะ นอนยังไง อาบน้ำยังไง พอเข้าไปหาข้อมูลถึงได้เห็นว่า เออ ตู้มันสวยนะ หรือเรื่องกินจะมีคนขึ้นมาขายของกินเหมือนเมืองไทยหรือเปล่า สิ่งเหล่านี้เทคโนโลยีก็ช่วยตอบได้ว่า ไม่มี ต้องกินตู้เสบียงอย่างเดียว ถึงไม่ได้ช่วยให้เราเตรียมตัวอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็ได้เห็นภาพรางๆ
ผิดแผนไปเยอะไหม
ไม่ค่อยเยอะ เพราะไม่ค่อยมีแผน (หัวเราะ) เพราะแผนที่มีก็จะถูกจำกัดโดยตารางเดินรถไฟอยู่แล้ว มันวิ่งซับซ้อนมาก ทำอะไรได้ไม่เยอะทั้งๆ ที่อยากไปเยอะมาก ถ้าจะเที่ยวอย่างที่เราวางไว้จริงๆ ต้องใช้เวลาเดือนกว่าถึงจะได้ ซึ่งเกินเวลามา 2-3 เท่า มันกลายเป็นวางแผนวันต่อวันเลยนะ วันนี้อยู่เมืองนี้ รุ่งขึ้นไปอีกเมือง แล้วพอเปลี่ยนเมืองก็ค่อยมาดูกันอีกทีว่าจะไปที่ไหน หรือทำอะไร
ที่น่าเสียดายก็คือ หลายๆ อย่างมันน่าจะได้ไป แต่มันผิดพลาดไปด้วยวันเวลาที่ไปผิดวัน วันเดียวถ้ามาพรุ่งนี้ก็ได้ไปดูแล้ว อย่างนี้เยอะ จุดพีคมันคงอยู่ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กซึ่งเป็นเมืองสุดท้าย คือทริปนี้ผมจะมีแลนด์มาร์คของตัวเองอยู่แล้วว่าถ้าไปเมืองนี้อยากจะไปเจอ อะไร ที่รัสเซียผมอยากเจอแมมมอธ เพราะชอบไดโนเสาร์ เคยดูสารคดีก็เคยมีการขุดเจอซากแมมมอธเต็มตัวที่นี่ ก็คงมีมิวเซียมที่มีแมมมอธเต็มตัวให้ดูล่ะวะ แต่เราหาที่ไหนก็ไม่เจอ ตลอดทริปเลยนะ ในไกด์บุ๊คส์ก็ไม่มีเขียน จนไปถึงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเป็นเมืองสุดท้าย ก็ไปเจอมิวเซียมวิทยาศาสตร์ แล้วที่นี่มีแมมมอธเต็มตัวให้ดู โห เราตามมามันทุกวันไม่เจอ มันอยู่ที่นี่เองเหรอ ใกล้มาก พรุ่งนี้ไป ยกเลิกแผนทุกอย่างพรุ่งนี้ไปแมมมอธ ดีใจมาก แล้วพอมาเปิดเวลาดู เขาปิดวันเดียว คือพรุ่งนี้ มาเห็นวันนี้ตอน 2 ทุ่ม ซึ่งมันปิดไปแล้ว ถ้าอยู่ต่ออีกวันตั๋วเครื่องบินก็ไม่ได้
แสดงว่าการเดินทางบางทีมันก็ไม่จำเป็นต้องจบด้วยความสุขเสมอไป ?
ใช่ ครับ (ยิ้ม) นอกจากเรื่องนี้ก็ยังผิดหวังหนักๆ อีก 2 เรื่อง คือ ด้วยความที่เราไปเขียนหนังสือ ดังนั้นการบันทึกอะไรกลับมาสำคัญมาก ภาพถ่าย สมุดโน้ต ทุกคนอยากเห็นบรรยากาศที่ได้ไปอยู่แล้วว่าเป็นยังไง ผมจะมีกล้อง 2 ตัว เป็นกล้องฟิล์ม และกล้องดิจิทัล บนรถไฟที่คนเยอะๆ ผมมักจะเอาดิจิทัลขึ้นมาถ่ายไปเรื่อย ดังนั้น บรรยากาศในรถไฟ อาหาร เพื่อนร่วมทาง ก็จะอยู่ในกล้องดิจิทัลแทบทั้งหมด พอผ่านไปค่อนทริปกล้องตัวนั้นหาย เราก็นึกว่าในกล้องมีภาพอะไรบ้าง ก็เซ็งไปพอสมควร เพราะเราไม่ได้ถ่ายแค่รูป ยังมีข้อมูลเก็บไว้เขียนอีก
พอกลับจากรัสเซียมาปักกิ่งเพื่อเปลี่ยนเครื่องกลับไทย ก็มีเวลาเดินเล่นที่ปักกิ่งครึ่งวัน ขากลับรถติดมาเลทจนเครื่องก็จะออกอยู่แล้ว เลยต้องรีบมาก พอก้าวเท้ามาถึงสนามบิน ถึงรู้ตัวว่า กระเป๋าสมุดบันทึกหายไปแล้ว ก็ตัดใจ คิดแผนสอง ตั้งสติดีๆ นั่งเครื่องกลับมา 6 ชั่วโมง ก็จดไปว่าจำอะไรได้บ้าง แต่ไม่มีกระดาษเลยสักแผ่น เพราะโหลดลงเครื่องไปหมดแล้ว เลยต้องไปเขียนกับถุงอ้วกบนเครื่องบิน นั่งเขียนตั้งแต่ปักกิ่งจนถึงเมืองไทย เครื่องลงยังเขียนไม่เสร็จเลย ทุกคนหลับทั้งเครื่อง แต่เราหลับไม่ลงน่ะ ตาสว่างมาก (ยิ้ม)
ถ้าอย่างนั้น ทริปนี้ถือว่าประสบความสำเร็จหรือเปล่า
คง ประสบความสำเร็จในแง่ได้ผ่านเส้นทางนี้มาแล้ว คือระหว่างเที่ยวนี่ไม่สนุกเลยนะ หนาวมาก คุยกับใครไม่รู้เรื่องเลย ที่จีนยังพอได้ มองโกเลีย กับรัสเซียภาษาอังกฤษแทบใช้ไม่ได้เลย ป้ายก็ไม่มีภาษาอังกฤษ อากาศอึดอัดมาก ผู้คนก็ไม่เป็นมิตร คนรัสเซียจะดูแข็งกร้าว ขึงขัง เครียด แต่พอจบทริปมาแล้วถึงได้รู้ว่า ก็ความรู้สึกแบบนี้แหละ คือสีสันของเส้นทางสายนี้ การผจญภัยของเส้นทางสายนี้ไม่ใช่แค่นั่งรถไฟสายยาวๆ เมืองที่ไประหว่างทางก็มีคาแรคเตอร์เฉพาะ ถ้าทุกเมืองเราคุ้นหมดเลย ทำทุกอย่างได้มันก็ไม่สนุกสิ มันเป็นเมืองที่แบบ...กินอาหารก็ไม่รู้จะสั่งยังไงน่ะ ถ้าประสบความสำเร็จก็คงในแง่นี้ ได้ผ่านเส้นทางที่ปัญหามันเยอะมาก
แต่เส้นทางรถไฟที่ 2 ข้างทางเปลี่ยนไปเรื่อยๆ มันเป็นประสบการณ์ที่ล้ำเลิศมาก ผมเป็นนักท่องเที่ยวประเภทประสบการณ์นิยม ชอบทำอะไรบางอย่างที่ได้พาตัวเองมาอยู่ตรงนี้แล้ว ดังนั้นเราก็เลยดีใจมากที่ถูกจับที่รัสเซีย ได้เข้าไปสถานีตำรวจที่นั่น เราไม่ได้ทำอะไรผิดนะ หรือว่ารัสเซียมีห้องอาบน้ำรวม เรียกว่า บาร์เนีย ไปเข้ามาก็ไม่เหมือนญี่ปุ่น ก็สนุกดี มันทำให้เราได้รู้สึกว่าเรากำลังสวมหมวกคนท้องถิ่นอยู่ ผมไม่อยากสวมหมวกนักท่องเที่ยวเที่ยว เพราะไม่อย่างนั้นคุณก็จะไปที่ที่เป็นแลนด์มาร์ค ที่ที่นักท่องเที่ยวไป ขณะที่ถ้าไปแบบคนท้องถิ่นคุณจะได้สัมผัสชีวิตอีกแบบหนึ่ง แล้วก็รู้สึกดีมากที่ได้ทำแบบนั้น ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีในการเดินทางแบบนี้นะ (ยิ้ม)