บี๋-สวิช เบิกความฟ้อง น้ำหวาน ฉ้อโกง

บี๋-สวิช เบิกความฟ้อง น้ำหวาน ฉ้อโกง

บี๋-สวิช เบิกความฟ้อง น้ำหวาน ฉ้อโกง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

พระเอก บี๋-สวิช ขึ้นศาลเบิกความฟ้อง น้ำหวาน พัสวี กับพวกรวมหัวฉ้อโกงลงทุนขายสลากหวยร่วม8ล้าน

(18 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องคดี หมายเลขดำ อ.2335/2552 ที่นายสวิช หรือบี๋ เพชรวิเศษศิริ นักแสดงและพิธีกร ช่อง 7 สี เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส. พัสวี น้ำหวาน พยัคฆบุตร หรือ มะกรวัฒนะ และนางช้องมาศ เทพศักดิ์ เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์

โดยวันนี้ นายบี๋ สวิช เดินทางมาเบิกความด้วยตนเอง ระบุว่า รู้จักกับ น.ส.พัสวี จำเลยที่ 1 เมื่อประมาณเดือน ก.พ.52 ทางอินเตอร์เน็ต โดยแนะนำตัวว่าชื่อน้ำหวาน อายุ 26 - 27 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาโทจากประเทศอังกฤษ 2 ใบ และทำธุรกิจค้าเพชร เช่าอสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน โรงงานต่างๆ มีทรัพย์สินเป็นเงินสด 50 ล้านจากนั้นก็ติดต่อกันทางโทรศัพท์กระทั่งเดือน เม.ย.52 จึงนัดพบกันโดยจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์เบนซ์ไปรับที่บ้านพักของโจทก์เพื่อไปทานอาหารที่ร้านย่านทองหล่อ ซึ่งพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นการสร้างภาพให้น่าเชื่อถือ โดยโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ติดต่อเรื่อยมา

ต่อมาจำเลยที่ 1 เคยพาโจทก์ไปบ้านพักที่ ซ.ลาดพร้าว 101 ด้วยพร้อมบอกว่าถ้าขายบ้านได้จะมีเงินเพิ่มอีก 20 ล้านบาท ซึ่งระหว่างเป็นเพื่อนกันจำเลยที่ 1 ก็บอกว่ารู้จักกับนายพลคนหนึ่งพร้อมนำภาพถ่ายมายืนยัน ได้แนะนำโจทก์ให้รู้จักนางช้องมาศ จำเลยที่ 2 อ้างว่าเป็นเจ้าของธุรกิจปั๊มน้ำมัน และรีสอร์ท ได้รับโควตาการขายสลากกินแบ่ง - สลากหวยออนไลน์จากรัฐบาล ซึ่งรับสลากมาในราคา 73 -74 บาท โดยจะขายได้ในราคา 80 -84 บาท จะมีกำไร 9 % ที่จะแบ่งกำไรให้ 3 ส่วน ส่วนแรกให้นายพล ส่วนที่สองแบ่งให้จำเลยที่ 1 - 2 ส่วนที่สามแบ่งให้ผู้ร่วมลงทุน ที่จะจ่ายเงินปันผลทุกวันที่ 15 และ 20 ของทุกเดือน ซึ่งโจทก์หลงเชื่อจำเลยที่ 1 ที่ชักชวนให้ลงทุน ซึ่งจ่ายเงินร่วมลงทุนครั้งแรกวันที่ 10 พ.ค.52 จำนวน 2 ล้านบาท โดยโจทก์ถอนเงินจากบัญชีจากธนาคารไทยพาณิชย์ กสิกรไทย และกรุงไทย รวม 3บัญชี นำไปมอบให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 นำเงินสดเข้าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาคริสตัลพาร์ค

จากนั้นวันที่ 22 พ.ค.52 จำเลยที่ 1 โทรศัพท์มาแจ้งโจทก์ว่าหากมีปัญหาเรื่องเงินสามารถเบิกจ่ายเงินปันผลล่วงหน้าได้ ขณะนั้นโจทก์มีความจำเป็นต้องใช้เงิน จึงเบิกเงินได้มา 1.2 แสนบาท จึงทำให้รู้สึกมั่นใจมากขึ้นกับการลงทุน ต่อมาจำเลยที่ 1 ก็บอกกับโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ได้รับมรดกมา กว่า 100 ล้านบาทก็จะนำมาลงทุนซื้อสลากอีกแต่จะตัดชื่อผู้ร่วมทุนเก่าทั้งหมดคงเหลือเพียงจำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 1 ให้การช่วยเหลือกันมานาน ขณะที่จำเลยที่ 1บอกโจทก์ว่าจะลงทุนงวดสุดท้ายแล้วจะลงทุนเท่าใดก็ได้ซึ่งโจทก์เห็นว่ามีรายได้สูงและโจทก์ต้องการนำไปสร้างธุรกิจจึงตัดสินลงทุนเพิ่มอีก 6 ล้านบาท วันที่ 8 มิ.ย.52 จึงโอนเงินเข้าบัญชีจำเลยที่ 1 รวมเงินลงทุนเดิมเป็นเงินทั้งสิ้น 8 ล้านบาท

ต่อมาวันที่ 19 มิ.ย.52 จำเลยที่ 1 นำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินมาให้โจทก์ ซึ่งระบุว่า ผู้กู้คือจำเลยที่ 2 แต่ผู้ให้กู้คือจำเลยที่ 1 ดำเนินการแทนตัวโจทก์ ซึ่งสงสัยว่าเหตุใดไม่ให้โจทก์เป็นผู้ให้กู้ จำเลยที่ 1 อธิบายว่าการลงทุนเรื่องนี้ต้องผ่านจำเลยที่ 1 เท่านั้น ต่อมาอีก 1 อาทิตย์โจทก์จึงโทรศัพท์ถึงจำเลยที่ 1 ขอเงินคืน 6 ล้านบาท เพราะต้องการนำไปลงทุนร้านหนังสือ ทำคาร์แคร์ และสนามฟุตบอล ซึ่งจำเลยที่ 1 ยอมคืนเงินให้ ทำให้ยิ่งมั่นใจว่าบริหารเงินจริง แต่หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 พยายามโทรมาชักชวนโจทก์ว่าขณะนี้เศรษฐกิจไม่ดี การลงทุนธุรกิจใดไม่ดีเท่าการลงทุนซื้อสลากโจทก์จึงตัดสินใจโอนเงินกลับให้จำเลยที่ 1 อีก 3 ล้านบาทในวันที่ 8 ก.ค.52

หลังจากนั้นโจทก์พยายามให้จำเลยที่ 1 แก้สัญญากู้ยืมฉบับจากตัวเลขเงิน 8 ล้านบาทเป็น 5 ล้านบาท แต่ก็ติดต่อไม่ได้ จำเลยที่ 1 อ้างว่ายุ่งบ้างหรือวางสายไปเลย แต่ที่สุดโจทก์ก็ได้นำสัญญาฉบับเก่าคืนให้จำเลยที่ 1 แต่ก็ไม่ได้รับสัญญาใหม่กลับมา ต่อมาจำเลยที่ 1 ส่งข้อความว่า การลงทุนสลากขาดทุน จะคืนให้คนละ 10 % อยากรู้รายละเอียดโทรสอบถามได้ แต่เมื่อโทรกลับไปจำเลยที่ 1 กลับบ่ายเบี่ยงให้สอบถามจำเลยที่ 2 แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ กระทั่งไปปรึกษาทนายความอาสาของฝ่ายช่วยเหลือกฎหมายของสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ทำหนังสือสอบถามถึงสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเมื่อวันที่ 3 พ.ย.52 ตรวจสอบว่าจำเลยทั้งสองได้รับโควต้าจริงหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีชื่อได้รับโควต้า และเมื่อโจทก์มีโอกาสได้เจอกับนายพลที่จำเลยที่ 1 อ้างชื่อแล้ว สอบถามเรื่องดังกล่าวก็ปฏิเสธว่าไม่รู้จัก และไม่เคยยุ่งเกี่ยวเรื่องสลาก จึงรู้ว่าถูกจำเลยทั้งสองหลอก

ขณะที่ ทนายความของ น.ส.พัสวี และนางช้องมาศ พยายามซักค้านนายบี๋ สวิช ว่าคบหากับ น.ส.พัสวี เป็นแฟนหรือไม่ นายบี๋ สวิช ตอบยืนยันว่า คบหาจำเลยที่ 1 ในฐานะเพื่อนเท่านั้น ขณะที่การลงทุนจำเลยที่ 1 กำชับไม่ให้นำเรื่องนี้ไปบอกเพื่อนของจำเลยที่ 1 ที่ร่วมลงทุนนับ 10 คน และแม้ว่าโจทก์จะเคยเดินทางไปเที่ยวภูเก็ต กับจำเลยที่ 1 ก็ไปในฐานะเพื่อนและมีเพื่อนอีกหลายคนที่ร่วมเดินทางไปด้วย ภายหลังนายบี๋ สวิช เบิกความเสร็จสิ้นแล้วทนายความยังได้นำพยานเข้าไต่สวนมูลฟ้องอีก 2 ปาก เมื่อศาลไต่สวนพยานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้นัดฟังคำสั่งว่าจะประทับรับฟ้องคดีหรือไม่ในวันที่ 9 ก.พ.นี้ เวลา 09.00 น.

โดยนายบี๋ สวิช กล่าวว่า ก่อนนำคดีมาฟ้องตนถูกข่มขู่ไม่ให้เอาเรื่องจากคู่กรณีไม่เช่นนั้นก็ถูกดำเนินคดีที่ไปบุกรุกบ้าน น.ส.พัสวี ขณะที่ส่วนตัวเชื่อมั่นความยุติธรรมของศาล เมื่อนำคดีมาฟ้องแล้วก็หวังว่าจะได้เงินคืน แต่เวลาเดินทางไปที่ไหนตนก็ต้องระวังตัวมากขึ้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีที่พนักงานสอบสวน สน.โชคชัย รับร้องทุกข์จาก น.ส.พัสวี ว่านายบี๋ สวิช บุกรุกบ้าน น.ส.พัสวี ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการส่งสำนวนให้พนักงานอัยการเพื่อสั่งคดี

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook