เหยื่อทางเลื่อนดอนเมือง ฝึกเดินต่อเนื่อง กำลังใจดี บอกโชคดีไม่เสียขาทั้ง 2 ข้าง
กรณีผู้โดยสารหญิงวัย 57 ปี โดนทางเลื่อนในสนามบินดอนเมืองหนีบขา จนได้รับบาดเจ็บหนักขาซ้ายขาด ล่าสุด ลูกชายของผู้บาดเจ็บได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2566 ระบุว่า
สวัสดีครับวันนี้ผมและครอบครัวอยากแชร์อัพเดทอาการของคุณแม่ และความคืบหน้าของสถานการณ์ให้ทุกท่านได้ทราบครับ เช่นเดิมเหมือนทุกๆ ครั้ง ผมต้องขอขอบคุณกำลังใจที่ส่งเข้ามาให้กับครอบครัวอย่างต่อเนื่อง
ส่วนที่ 1 อัพเดทอาการของคุณแม่
คุณหมอทำการตัดไหม(บางส่วน) และถอดเครื่องมือทั้งหมดออกจากร่างกายคุณแม่แล้วครับ คุณแม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกและรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวมากขึ้น การทำกายภาพเป็นไปตามขั้นตอน คุณแม่ฝึกเดินต่อเนื่อง และ ฝึกขึ้นบันไดด้วยไม้ค้ำยัน สุขภาพจิตของคุณแม่ค่อนข้างคงที่ คุณแม่บอกว่าท่านดีใจที่อย่างน้อยก็โชคดีที่ไม่สูญเสียขาทั้งสองข้าง อีกทั้ง เชื่อว่าจากเหตุการณ์ของคุณแม่ ทางสนามบินดอนเมืองจะมีการปรับปรุงครั้งใหญ่เพื่อป้องกันเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต
นอกจากนี้คุณแม่ขอยังขอฝากกำลังใจไปถึงกัลยาณมิตรทุกท่าน ไม่ว่าเผชิญกับเหตุการณ์อะไรอยู่ก็ตาม ในวันที่ท่านเหนื่อยหรือท้อแท้กับการต่อสู้อยากให้รู้ว่ามีสุภาพสตรีคนนี้และครอบครัวส่งกำลังใจให้ทุกท่านอยู่เสมอ
แม้ว่าคุณแม่จะมีอาการดีขึ้นบ้างแล้ว คุณแม่ยังคงมีอาการ Phantom pain อาการคัน เหน็บชา หรือ เจ็บ บริเวณอวัยวะที่หายไปอยู่ จากคำอธิบายของคุณหมอ อาการนี้เกิดจากการที่เส้นประสาทถูกทำลายอย่างเฉียบพลัน คุณแม่อาจจะรู้สึกดีขึ้นในอีกหลาย ๆ เดือนข้างหน้า หรืออาจจะมีอาการไปตลอดชีวิต (และอาจจะต้องใช้ยาแก้ปวดบรรเทาตามอาการ) คุณแม่บ่นเสมอว่ารู้สึกทรมานเหมือนมีเข็มทิ่มยิบ ๆ บริเวณขาข้างที่ไม่อยู่แล้ว
ส่วนที่ 2 อัปเดตเรื่องการหาสาเหตุของเรื่องราวที่เกิด
วันนี้ (วันที่ 14 กรกฎาคม 2566) จะเป็นวันที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่แต่งตั้งโดยการท่าอากาศยานไทย มีนัดประชุมพิจารณาสาเหตุที่ทางเลื่อนทรุดตัวเป็นครั้งที่ 3 เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้คุณแม่ต้องสูญเสียอวัยวะ
ผมและครอบครัวตั้งหน้าตั้งตารอข้อสรุปของการสืบหาข้อเท็จจริงโดยคณะกรรมการชุดนี้เป็นอย่างมาก หลังการประชุมเสร็จสิ้นลงในวันนี้ หรืออย่างช้าที่สุดคือวันจันทร์ (ตามกำหนดการเดิม) อีกทั้งการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเพื่อสรุปข้อเท็จจริงและสาเหตุของเหตุการณ์ในครั้งนี้ เพื่อให้เป็นที่แน่ชัดและไขข้อสงสัยให้กับคุณแม่และครอบครัว รวมทั้งสาธารณชน ทั้งในไทยและต่างประเทศ
จนถึงวันนี้ รวมเป็นเวลาทั้งสิ้น 11 วัน นับตั้งแต่วันที่แต่งตั้งคณะกรรมการ หรือ 15 วันตั้งแต่วันเกิดเหตุ ผมต้องยอมรับว่ามันเป็นเวลาที่ยาวนานมาก นับเป็นปี ๆ ได้เลยสำหรับผมและครอบครัวที่ใกล้ชิดกับผู้สูญเสีย ทุก ๆ วันที่ผ่านไปโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณแม่ มันทำให้พวกเราต้องฝึกความอดทน รอคอยอย่างใจเย็น ทั้งๆ ที่อารมณ์ข้างในยังคงเศร้าและต้องการคำตอบอยู่เสมอ
ระหว่างที่รอ ตอนนี้ผมและครอบครัวก็ต้องวางแผนรับมือกับการใช้ชีวิตในวันข้างหน้าและอยากให้ทางการท่าฯ คอยช่วยแสดงความรับผิดชอบและดูแลไปกับพวกเราจนกว่าคุณแม่จะสามารถกลับมาเดินได้ดังเดิม
ผมเชื่อว่าทางการท่าฯ และ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีบุคคลากรที่มีความสามารถและกำลังทำงานหนักเพื่อสืบหาข้อเท็จจริง และนำข้อเท็จจริงของเรื่องนี้มาเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ข้อสงสัยต่าง ๆ หมดไป เช่นเดียวกันกับที่คุณแม่ก็กำลังพยายามอย่างหนักเพื่อฟื้นตัวจากวิกฤตการณ์ที่เลวร้ายในครั้งนี้
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นการชี้แจงข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ อย่างโปรงใส่ ตรงไปตรงมา และชัดเจนในอีกไม่กี่ชั่วโมง/วันข้างหน้า ตามคำสัญญาที่ทางการท่าฯ และท่านผู้อำนวยการท่าฯ ได้ให้ไว้กับพวกเราว่าจะต้องสืบสวนสอบสวนให้ได้ข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จในเวลา 15 วัน นับตั้งแต่วันแต่งตั้งคณะกรรมการฯ
ขอให้ทุกท่านเป็นกำลังใจให้กับพวกเราและกรรมการทุกท่านด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
ซึ่งในช่วงเย็นวันเดียวกัน ลูกชายผู้บาดเจ็บ ได้อัปเดตข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทางการท่าฯ แจ้งว่าขอยืดเวลาพิจารณาหาสาเหตุออกไปอีก 7 วัน จากกำหนดเดิม โดยทางผอ.โทรมาอธิบายด้วยตัวเองว่า มีประเด็นเพิ่มเติมจึงขอเพิ่มเวลา