"เวลาให้ลูกคือสิ่งสำคัญ" ทนายแจม ก้าวไกล กับบทบาทใหม่ฐานะแม่และนักการเมือง

ขึ้นชื่อว่าเป็นนักการเมือง โดยเฉพาะ สส. แบบแบ่งเขต ที่ต้องทำทั้งงานในสภาผู้แทนราษฎรและลงพื้นที่พบปะประชาชน เวลาให้ตัวเองและครอบครัวก็คงเหลือน้อยลง แต่ทนายแจม-ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส. กรุงเทพมหานคร เขต 11 จากพรรคก้าวไกล ยืนยันว่า เวลาที่มีให้ลูกนั้น โดยเฉพาะลูกในวัยเด็ก สำคัญมากๆ

ทนายแจมเริ่มเล่าให้ฟังว่า การเป็นแม่สำหรับตัวเองนั้นเป็นเหมือนมิติใหม่ในชีวิต เพราะเติบโตมากับพ่อและย่า เมื่อทราบว่าตัวเองจะเป็นแม่ในขณะที่ยังเป็นทนายความและกำลังสนุกกับการทำงาน จึงคิดไม่ออกว่าจะเป็นแม่แบบใดและมีความพร้อมมากแค่ไหน

"พอวันที่เป็นแม่เราก็เลยกังวลว่าเราจะเป็นแม่ที่ดีหรือเปล่า เราคิดว่าอาจจะเป็นความกังวลที่คล้ายๆ กับแม่หลายๆ คน เราไม่รู้ว่าเราจะเป็นแม่ที่ดีไหม เราไม่รู้ว่าเราจะ handle (รับมือ) กับการที่มีลูกยังไง" ทนายแจม กล่าว

ความพร้อมส่วนหนึ่ง การเตรียมตัวเป็นแม่ก็ส่วนหนึ่ง

เมื่อถามว่าคิดเห็นอย่างไรกับวลี "มีลูกเมื่อพร้อม" ทนายแจม มองว่าเป็นความจริงส่วนหนึ่ง ขณะที่อีกส่วนนั้น ส่วนตัวมองว่าความพร้อมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทั้งเรื่องอายุ ฐานะ และความพร้อมด้านอื่นๆ ดังนั้นเมื่อทราบว่าตัวเองจะเป็นแม่ จึงต้องหาข้อมูลทั้งจากหนังสือและแหล่งความรู้อื่นๆ เพื่อเตรียมตัวสู่การเป็นแม่และการเลี้ยงลูก

"เราว่าความพร้อมของแต่ละคนนิยามต่างกัน เหมือนเราอะ คำว่าพร้อมของเราอาจจะแบบมีบ้านแล้ว มีเงินมากพอ หรือว่าตอนนั้นเรามองว่าพร้อมต้องประมาณ 30 กว่าๆ ด้วยซ้ำ ตอนนั้นเราอายุ 27 เรารู้สึกว่าเรายังไม่ได้พร้อมมีลูกตอนนี้เท่าไหร่ แต่พอสถานการณ์มันงวดเข้ามาเนาะ บีบบังคับ เราก็รู้สึกว่า 'เออ ไม่เป็นไร' มันอาจจะไม่ได้พร้อมที่สุด แต่เราใช้ความพร้อมเท่าที่มีตอนนี้ทำให้มันดีที่สุดดีกว่า"

กรุ๊ปไลน์คุณแม่ลดความเครียด

นอกจากความเอาใจใส่จากคนในครอบครัวที่ทำให้พร้อมต่อการตั้งครรภ์และการมีลูกมากขึ้นแล้ว ทนายแจมพูดต่อไปว่ากรุ๊ปไลน์คุณแม่ ที่รวบรวมแม่ๆ ที่กำลังตั้งครรภ์ในช่วงเวลาเดียวกันก็เป็นอีกกำลังใจหนึ่ง ที่ทำให้รู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียวและเหมือนมีเพื่อนที่คอยสอบถามปัญหาและแนะนำวิธีการปฏิบัติตัวระหว่างตั้งครรภ์

"อย่างตอนที่เรามีลูกคนแรก เราก็จะมีกลุ่มคุณแม่ เขาเรียกว่า 'แม่ลิงกรกฎา' เพราะว่าทุกคนจะรู้กำหนดคลอดว่าจะคลอดเดือนกรกฏาแล้วก็ในปีลิง" ทนายแจม เล่า

"เราว่าการที่มีกลุ่มคุณแม่ที่มีกำหนดคลอดใกล้กันได้มาคุยกันมันช่วยลดความเครียดไปได้เยอะ เช่นว่าแบบ... อาการช่วงเนี้ยเราไม่ได้เป็นไปคนเดียวอะ ถ้าเราไม่ได้มีคนอื่นที่กำหนดคลอดใกล้กันอยู่ด้วยกัน เราก็จะคิดว่า เฮ้ย! ผิดปกติหรือเปล่า เราทำได้ไม่ดีหรือเปล่า อะไรอย่างเงี้ย"

แม้แต่หลังคลอดแล้ว ทนายแจมบอกว่ากรุ๊ปไลน์คุณแม่ก็ยังเป็นที่คอยช่วยเหลือและให้คำปรึกษากัน แม้แต่แนะนำว่าสินค้าชนิดไหนคุณลูกใช้ได้คุณแม่ใช้ดี

"พอลูกเรา 7 ขวบพร้อมกัน ก็มีคนส่งเข้ามาในกลุ่มว่าไปทำบัตรประชาชนรึยัง เราก็จะคุยกันอยู่ตลอด"

ลาคลอด 3 เดือนไม่พอ

สิ่งที่ทนายแจมมองว่าเป็นไฮไลต์ที่คุณแม่มือใหม่หลายๆ คนไม่คาดคิด คือ ช่วงลาคลอด 3 เดือน ที่ส่วนตัวเคยคิดว่าจะเป็นช่วงที่น่าเบื่อเพราะไม่ต้องทำงาน แต่ความจริงกลับไม่เหมือนที่คิดเลย

"่ก่อนจะคลอดเราคิดว่าแบบ 3 เดือนต้องน่าเบื่อแน่ๆ เลย รับงานที่ทำงานมาทำอยู่นะ 'เฮ้ย! 3 เดือนลาคลอด กลัวเบื่อ ส่งงานมาเลย ส่งงานมาเยอะๆ น่าจะน่าเบื่อ' แต่ความเป็นจริง เราไม่ได้เปิดคอมเลย ไม่มีเวลาแม้แต่จะเปิดคอมขึ้นมา จะไถฟีดก็คือต้องตอนที่ให้นมลูก เราจะเห็นคุณแม่ที่เล่นเฟซบุ๊กบ่อย ลงรูปลูกบ่อยๆ อย่าไปโกรธเขาเลย เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่พอจะเยียวยาจิตใจได้ มันช่วยให้เราหายเครียดได้"

"มันไม่มีเวลาทำอย่างอื่นจริงๆ ต้องให้นมลูกอย่างเดียวเวลาก็หมดแล้ว เราก็เลยรู้สึกว่าช่วงเวลา 3 เดือนมันน้อยมากเลยอะ มันยังไม่ทันจะหายเหนื่อยเลยอะ แล้วเราก็ต้องกลับไปทำงานแล้ว"

ทนายแจมมองว่า ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการลาคลอดน่าจะอยู่ที่ 6 เดือน เพราะ 3 เดือนแรกเป็นช่วงที่กำลังปรับตัว กว่าจะอยู่ตัวจริงๆ สำหรับการเป็นคุณแม่มือใหม่ คือช่วง 3 เดือนถัดมา

"เพิ่งมา settle ตัวเองได้ ตั้งตัวได้ว่าฉันเป็นแม่แล้วนะ ก็คือ 3 เดือนให้หลัง 3 เดือนถัดมาเนี่ยเพิ่งจะจัดการตัวเองได้ เพิ่งจะจัดนั่นนี่เป็นระบบมากขึ้น แต่ 3 เดือนแรก เราไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครด้วยซ้ำ เราเหมือนแม่วัวตัวหนึ่ง"

"อย่างน้อยๆ ถ้าเราลาคลอด 6 เดือนได้จริงๆ เราก็ไม่ต้องมาตะบี้ตะบันปั๊มนม แล้วก็ต้องหิ้วเครื่องปั๊มนมไปที่ทำงาน เราอาจจะเห็นภาพนี้น้อยลง ใครอยากจะให้นมนานกว่านั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง"