ราชทัณฑ์เปิดขั้นตอนรับตัว "ทักษิณ" กลับไทย 10 ส.ค. ชี้เข้าเกณฑ์ผู้ต้องขังสูงอายุ
อธิบดีราชทัณฑ์ เปิดขั้นตอนรับตัว "ทักษิณ ชินวัตร" กลับไทย 10 ส.ค. ส่งเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กักตัวราว 10 วัน ชี้เข้าเกณฑ์เป็นผู้ต้องขังสูงอายุ เผย หากมีโรคประจำตัว ส่งเข้าหอผู้ป่วยรักษาต่อเนื่อง โดยมีแพทย์เรือนจำฯ เป็นผู้ประเมินอาการ
จากกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ อุ๊งอิ๊งค์ แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก ชื่อ Ing Shinawatra พร้อมระบุข้อความถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และในฐานะบิดา สรุปใจความว่า
“เนื่องในวันเกิดว่า 26 กรกฎาคมของทุกปี เป็นวันสำคัญของลูกเสมอ แต่ปีนี้ลูกยังไม่อยากเชื่อตัวเอง ในสิ่งที่ลูกกำลังจะพิมพ์ พ่อจะกลับมาแล้ว วันที่ 10 สิงหาคมนี้ ที่สนามบินดอนเมือง”
ทำให้โซเชียลมีเดียแห่คอมเมนท์ใต้โพสต์และแชร์โพสต์ดังกล่าวอย่างล้นหลาม สร้างความฮือฮาให้สถานการณ์การเมืองไทยในขณะนี้เป็นอย่างมาก ตามที่ได้มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด เมื่อเวลา 11.40 น. วันนี้ (26 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ถึงแนวทางการเตรียมความพร้อมของกรมราชทัณฑ์ ในกรณีการรับตัวนายทักษิณ ภายหลังเดินทางกลับเข้าประเทศไทยเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ว่า เบื้องต้น คาดว่าเมื่อคุณทักษิณเดินทางกลับเข้าประเทศไทยโดยลงที่สนามบินดอนเมือง
ขั้นตอนแรกจะเป็นในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ที่จะรับตัวและทำบันทึกการจับกุมต่างๆ ตามขั้นตอน ขณะที่ในส่วนของกรมราชทัณฑ์จะต้องว่าไปตามหมายศาล โดยรอดูว่าจะมีคำสั่งหรือหมายศาลคดีใดแจ้งมายังกรมราชทัณฑ์เพื่อเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะได้เดินทางไปยังเขตพื้นที่ของศาลนั้นๆ
จากนั้นเมื่อคุณทักษิณเข้าสู่ขั้นตอนของศาลเสร็จสิ้น หากเป็นคดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะควบคุมตัวคุณทักษิณมายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แต่ ณ ขณะนี้ทางราชทัณฑ์ยังไม่ได้รับหมายศาลใดๆ
นายอายุตม์ เผยอีกว่า สำหรับกระบวนการจำแนกคัดกรองผู้ต้องขัง แม้จะเป็นกรณีของคุณทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี ราชทัณฑ์ก็ดำเนินการตามขั้นตอนทั่วไป เป็นไปตามระเบียบการจำแนกลักษณะผู้ต้องขัง โดยจะมีการตรวจสอบประวัติ ทำทะเบียนประวัติ
อย่างไรก็ตาม คุณทักษิณถือเป็นผู้ต้องขังสูงอายุ หากเจ้าตัวมีโรคประจำตัวที่จะต้องเข้ารับการรักษาต่อเนื่อง ทางราชทัณฑ์จะมีแพทย์ประจำเรือนจำฯ ที่จะเป็นผู้ใช้ดุลพินิจในการจำแนกผู้ต้องขัง
โดยจะนำตัวไปยังห้องกักโรคของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ทำการกักโรคเพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ประมาณ 10 วัน ถัดไปจึงเข้าสู่กระบวนการรักษาโรค ย้ายไปยังหอผู้ป่วย คล้ายกรณีของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ
ส่วนกรอบระยะเวลาของการรักษาโรคไม่ได้มีกำหนดไว้ จะเป็นในส่วนของแพทย์ประจำเรือนจำที่จะเป็นผู้ประเมินอาการของผู้ต้องขัง และให้ความเห็นเรื่องการรักษาว่าในระหว่างกระบวนการดังกล่าว เจ้าตัวควรแก่การเสร็จสิ้นกระบวนการรักษาแล้วหรือไม่ อย่างไร
ทั้งนี้ เมื่อถามว่าภายหลังจากมีกระแสข่าวออกมาทางด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีและในฐานะรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มีการประสานติดต่อมายังกรมราชทัณฑ์หรือไม่ นายอายุตม์ ระบุว่า เบื้องต้นท่านยังไม่ได้มีการประสานมายังราชทัณฑ์แต่อย่างใด
ด้าน พล.ต.ต.โชคชัย งามวงค์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง ระบุว่าจนขณะนี้ทางตำรวจยังไม่มีข้อมูล หรือได้รับการประสานเรื่องการเดินทางอย่างเป็นทางการว่าจะเป็นวันไหน อย่างไร สนามบินใด ตนเองได้ทราบ ข่าวจากทางสื่อเช่นกัน
แต่ทั้งนี้ขั้นตอนการดูแลรักษาความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกจะยังใช้วิธีการแบบที่เคยประชุมไว้ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา คือ ถ้าอยู่ในเวลาราชการก็จะรับตัวและส่งศาลฏีกาในทันที
แต่หากนอกเวลาราชการ ก็จะทำการส่งตัวไว้ที่สถานคุมตัวพิเศษ ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ถนนวิภาวดีก่อน และจะย้ายตัวไปศาลฏีกาในเวลาราชการ จากนั้นสถานที่สุดท้ายคือนำตัวไปส่งที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
อย่างไรก็ตาม จากการประชุมที่ผ่านมากองบัญชาการตำรวจนครบาลได้เตรียมพร้อมพื้นที่ เส้นทางการเดินทางทั้งหลักและรอง เป้าหมายการเดินทางตั้งแต่เริ่มต้นควบคุมตัวที่สนามบินดอนเมือง หรือสนามบินสุวรรณภูมิไปยังสถานที่ต่างๆอย่างรัดกุม