เส้นทางชีวิต "ออกัส วชิรวิชญ์" เติบโตจากความผิดหวัง สู่การเป็นพระเอกแถวหน้า
ออกัส วชิรวิชญ์
พิสูจน์ฝีมือผ่านผลงานการแสดง จนได้มายืนอยู่ในที่จุดที่หลายคนเรียกว่า "พระเอกแถวหน้า" อีกทั้งยังมีชื่อเสียงโด่งดังในระดับอินเตอร์ สำหรับ ออกัส-วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์ หนุ่มหล่อหน้าคม เจ้าของผลงานสร้างชื่อ อย่าง เลิฟซิคเดอะซีรีส์, U-Prince Series, กรงกรรม, ยมทูตกับภูตสาว, รักท่วมทุ่ง ฯลฯ
แต่ใครจะรู้ว่ากว่าที่ ออกัส วชิรวิชญ์ จะเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ เจ้าตัวก็เคยพบเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นกัน เมื่อ "ความฝัน" ที่ตั้งวาดไว้ให้กับอนาคตของตัวเอง...ไม่ได้ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจ
ซึ่งนั่นเองก็นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต ที่ส่งผลให้ ออกัส วชิรวิชญ์ ได้มายืนอยู่ ณ จุดนี้ โดยมีกำลังใจจากครอบครัว และแฟนคลับเป็นแรงผลักดัน...
จากอดีตนักกีฬาเทนนิส ชีวิตพลิกเพราะฝันที่พังทลาย… สู่เส้นทางการเป็นนักแสดง
จุดเริ่มต้นมันเริ่มต้นมาจากความเฟลครับ เป็นความเฟลจากการที่ผมเคยเป็นนักกีฬาเทนนิส เพราะผมมีความฝันว่า ผมอยากจะไปให้ถึงระดับโลก แต่สุดท้ายแล้วผมก็ทำมันไม่ได้ ซึ่งในช่วงจังหวะเวลานั้นเอง มันก็เป็นช่วงที่คุณแม่ของผมท่านอยากจะให้ผมได้ลองเข้ามาทำงานวงการบันเทิง คือเวลาไปไหนมาไหนแล้วเห็นป้ายโฆษณา คุณแม่ก็จะแบบหยอดๆ ถามๆ ประมาณว่า ‘ทำได้มั้ยแบบนี้’, ‘อยากลองทำแบบนี้หรือเปล่า’ ซึ่งตอนแรกผมก็ปฎิเสธไปนั่นแหละ จนมาถึงวันหนึ่งที่มีการเปิดแคสติ้ง Love Sick: The Series คุณแม่ก็มาเอ่ยปากชวนผมอีกครั้ง และด้วยความที่ตอนนั้นผมรู้สึกเฟลกับความฝันด้านการเป็นนักกีฬาอยู่ก่อนแล้ว ผมก็เลยตอบตกลงท่านไป เพราะคิดว่ามันคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง ณ เวลานั้นแล้ว นั่นแหละครับ…สุดท้ายผมก็ได้รับโอกาสให้ร่วมแสดงโปรเจกต์นี้ ซึ่งทั้งเรื่องผมออกแค่ไม่กี่นาทีเองนะ แต่ทุกอย่างมันเกิดจากกระแสการพูดถึงของแฟนคลับในทวิตเตอร์ ที่เขาเห็นว่าเคมีของผมกับเงินดูเข้ากัน จนในที่สุดเราก็ได้มีโปรเจกต์ต่อยอดในภาค 2 ต้องขอบคุณแฟนคลับมากๆ เลยนะครับที่มองเห็นผมในวันนั้น และทำให้ผมได้มีโอกาสทำงานต่อมาอีกเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้
จากสิ่งที่ไม่เคยสนใจ กลับกลายเป็นสิ่งที่รัก และเปลี่ยนชีวิตภายในชั่วข้ามคืน
ถ้าถามผมว่าการแสดงสำหรับผมเป็นสิ่งที่ยากไหม เพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยสนใจหรือเคยเรียนรู้การทำงานด้านนี้มาก่อน เอ่อ… ตอนแรกมันก็ไม่ได้ยากหรอกครับ เนื่องจากผมแสดงแค่อาทิตย์ละ 1-2 วัน คือมันค่อนข้างชิล แต่พอได้ทำไปเรื่อยๆ เริ่มจริงจังกับมันมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงตอนที่ได้เข้ามาทำงานกับช่อง 3 ได้แสดงบทบาทแนวพีเรียด ผมก็รู้ตัวทันทีเลยว่าผมยังทำไม่ได้ ผมยังพูดไม่ชัด คือมันมีอะไรให้ต้องปรับแก้เยอะมาก ซึ่งมันหนักจนถึงขั้นที่ว่าผมอยากเลิกเป็นนักแสดงเลยนะ เพราะผมคิดว่างานนี้มันคงไม่ตรงกับตัวเองแล้วแหละ แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ด้วยกำลังใจของแฟนคลับนี่แหละครับ เขาคอยสนันสนุนและซัพพอร์ตผมมาตลอด สำหรับผมแล้วแฟนคลับคือกำลังใจสำคัญ เขาทำให้ผมรู้สึกว่ายังมีคนที่รอผมนะ ยังมีคนที่เชื่อมั่นในตัวผมนะ แล้วทำไมผมถึงไม่เชื่อมั่นในตัวเองล่ะ นั่นแหละครับคือเหตุผลที่ทำให้ผมตัดสินใจทำงานด้านนี้ต่อไป ถึงมันจะยาก ถึงมันจะต้องปรับ หรือต้องแก้ไข แต่ผมก็พร้อมที่จะพัฒนาตัวเองอย่างเต็มที่ จนกลายเป็นว่าผมรักและชอบงานแสดงจริงๆ แล้วครับ
พิสูจน์ฝีมือกับบท อาสี่ จากละคร กรงกรรม ผลงานมาสเตอร์พีซ ที่ทำให้ชื่อ ออกัส วชิรวิชญ์ กลายเป็นที่รู้จักทั่วประเทศ
ในช่วงแรกๆ ของการเป็นนักแสดงก็จะมีแค่กลุ่มวัยรุ่นครับที่รู้จักว่าผมเป็นใคร จนกระทั่งได้มาแสดงเรื่องกรงกรรม ในบท ‘อาสี่’ เรื่องนี้ทำให้ทุกคนรู้จักผมมากขึ้นจริงๆ คือตอนแรกผมก็ไม่ทราบหรอกครับว่าอาสี่ดังแค่ไหน แต่มันมีวันหนึ่งที่ผมออกไปเดินซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ตแถวบ้าน แล้วมีคนเข้ามาทักผมครับ ทักประมาณว่า อาสี่อย่างนั้น อาสี่อย่างนี้ คือทักทุกคนเลย นั่นแหละครับคือตอนที่ผมรู้ว่าละครเรื่องนี้ดังมากจริงๆ และคนดูเขาอินกับตัวละครมาก ดีใจมากครับ ดีใจที่ทุกคนจำได้ (ยิ้ม)
9 ปีในวงการบันเทิง กับผลงานที่ภาคภูมิใจ
ถ้าถามเรื่องความภาคภูมิใจในผลงาน เอ่อ… จริงๆ ผมภูมิใจในผลงานที่ได้ทำทุกชิ้นนะครับ แต่เรื่องที่ผมอยากยกขึ้นมาพูดถึงก็คือเรื่อง ยมทูตกับภูตสาว คือผมต้องย้อนเล่ากลับไปก่อนว่า เรื่องนี้เป็นละครที่ผมจะต้องร้องไห้เยอะมาก ซึ่งเมื่อก่อนผมเป็นคนที่กลัวการร้องไห้แบบสุดๆ แต่ด้วยความที่มันคือบทบาทที่ผมต้องรับผิดชอบ ผมก็เลยศึกษาด้านการแสดงมากขึ้น เริ่มหยิบเริ่มปรับเอาเทคนิคต่างๆ มาใช้กับตัวเองเพื่อละครเรื่องนี้อย่างจริงจัง จนกระทั่งมันกลายเป็นว่าผมอินไปกับตัวละคร ซึ่งฉากที่ผมต้องร้องไห้เยอะมากๆ มันคือฉากเกือบจะตอนท้ายของเรื่องแล้ว ผมจำได้เลยว่า ผมหลุดเข้าไปกับซีนนั้นจริงๆ มันเลยเป็นอีกโมเมนต์การแสดงที่ผมรู้สึกว่าผมภูมิใจนะ ภูมิใจกับพัฒนาการของตัวเอง ภูมิใจที่ผมหลุดไปถึงจุดนั้นได้ มันเป็นความภูมิใจในด้านคุณภาพมากกว่าชื่อเสียง ประมาณนั้นครับ
“ผมเชื่อนะครับว่า ทุกเรื่องที่ผมเล่น ทุกบทบาทที่ผมได้รับ ตัวละครตัวนั้นมันยังคงติดอยู่ในตัวผม มันทำให้ผมมีประสบการณ์มากขึ้น ซึ่งเมื่อก่อนตัวผมเองเป็นคนนิ่งๆ ขี้อาย แต่พอผมได้แสดงเป็นตัวละครในหลากหลายบทบาท ผมก็รู้สึกว่ามันยังคงมีเศษเสี้ยวของตัวละครตัวนั้นหลงเหลืออยู่ ทั้งความขี้เล่น ความสนุกสนาน ซึ่งผมสามารถเอามาใช้กับชีวิตจริงของตัวเองได้ ทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าเรามีประสบการณ์ในชีวิตมากขึ้น ทั้งๆ ที่เราไม่ต้องเป็นคนคนนั้นในชีวิตจริง”
เป้าหมายในอนาคต ออกัส วชิรวิชญ์ บนเส้นทางการเป็นนักแสดงมืออาชีพ
อย่างที่ผมบอกครับ ตอนนี้ผมเปลี่ยนจากความชอบงานแสดง กลายมาเป็นความรัก ดังนั้นผมก็เลยอยากที่จะทำมันต่อไปเรื่อยๆ จากที่วันนี้ผมรับบทเป็นลูก ผมก็อยากไปให้ถึงวันที่ผมได้แสดงเป็นพ่อ การแสดงยังมีอะไรให้ผมเรียนรู้ได้อีกไม่รู้จบเลยครับ (ยิ้ม)
ในช่วงอายุ 25 ปี วัยเปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่น สู่การเป็นผู้ใหญ่ มีอะไรในชีวิตของที่ ออกัส วชิรวิชญ์ เปลี่ยนแปลงไปบ้าง
เอ่อ… สำหรับผมมันเปลี่ยนไปทุกปีนะครับ ดังนั้นถ้าถามผม ผมคิดว่าทุกๆ วันเราต้องเรียนรู้มันไปเรื่อยๆ อย่างมีสติมากกว่า อย่างตอนที่ผมอายุ 25 ผมก็คิดว่าตอนนั้นผมโตแล้ว แต่พอเอาเข้าจริง คือมันไม่ใช่ เพราะทุกครั้งที่ผมเจอกับประสบการณ์ใหม่ให้ต้องรับมือ มันก็ทำให้ผมได้รู้ว่า ผมยังไม่ได้โตขึ้นขนาดนั้น ดังนั้นสำหรับผมแล้วการใช้ชีวิตอย่างมีสติ หรือการที่เราไม่ประมาท มันคือสิ่งที่ปกป้องเราได้ดีที่สุด ชีวิตคนเรามันมีขึ้นและมีลงอยู่ตลอดครับ
อัลบั้มภาพ 20 ภาพ