ตำรวจยิงขาลูกค้าหน้าห้าง หลังเถียงเรื่องใส่หมวกกันน็อกมาธนาคาร เตือนแล้วไม่ยอมถอด

ตำรวจยิงขาลูกค้าหน้าห้าง หลังเถียงเรื่องใส่หมวกกันน็อกมาธนาคาร เตือนแล้วไม่ยอมถอด

ตำรวจยิงขาลูกค้าหน้าห้าง หลังเถียงเรื่องใส่หมวกกันน็อกมาธนาคาร เตือนแล้วไม่ยอมถอด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ตำรวจยิงขาลูกค้าหน้าห้าง อ้างปืนลั่น หลังเถียงเรื่องใส่หมวกกันน็อกมาธนาคาร เตือนแล้วไม่ยอมถอด เกรงว่าจะมาก่อเหตุร้าย

เมื่อเวลา 16.20 น. วันที่ 7 สิงหาคม 2566 พ.ต.ท.อุทัย หนองสาหร่าย สว.สอบสวนสภ.คลองหลวง รับแจ้งมีเหตุยิงกันที่หน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง สาขาคลองสาม ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี หลังรับแจ้งจึงรุดไปที่เกิดเหตุพร้อมด้วยพ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ มิตรปราสาท ผกก.สภ.คลองหลวง พ.ต.ท.สิรภพ บัวหลวง สว.สส.สภ.คลองหลวง ร.ต.อ.สมยศ คงศาสตรา รองสว.สส.สภ.คลองหลวง พ.ต.ต.มนตรี คงอาจ สวป.สภ.คลองหลวง กำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน หน่วยกู้ชีพอบต.คลองสาม

ที่เกิดเหตุพบผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ถูกอาวุธปืนยิงเข้าที่บริเวณฝ่าเท้าฝั่งซ้าย ทราบชื่อต่อมานายอากร  อายุ 27 ปี ถูกนำตัวส่ง รพ.ปทุมธานี โดยผู้ก่อเหตุคือ ร.ต.ท.ภัณเต อายุ 58 ปี ปฏิบัติหน้าที่สายตรวจเดินเท้า ห้างสรรพสินค้าดังกล่าว ดูแลความเรียบร้อยธนาคาร 3 แห่ง ร้านทอง 1 แห่ง ในห้างสรรพสินค้า ซึ่งยืนคุมเชิงอยู่ในที่เกิดเหตุพร้อมอาวุธปืน โดยมีกลุ่มเพื่อนของผู้ได้รับบาดเจ็บและประชาชนจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัว ร.ต.ท.ภัณเต  ขึ้นรถยนต์สายตรวจไปยังสภ.คลองหลวง โดยให้ตำรวจนายอื่นปฏิบัติหน้าที่ แทนก่อนเพราะธนาคารและร้านค้าทองยังไม่ปิดให้บริการ

ทางด้านนายศักดิ์รินท์ อายุ 22 ปี ให้การว่า ตนเองและเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บมาที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อนฝากเงินที่ธนาคารโดยใช้รถจยย.เป็นยานพาหนะ โดยหลังจากมาถึงก็เดินเข้าไปทำธุรกรรมที่ตู้ฝากเงินอัตโนมัติที่ธนาคารซึ่งอยู่ด้านใน โดยคนเจ็บสวมเสื้อยืดกางเกงวอร์มสวมหมวกกันน็อคแบบครึ่งใบเข้าไปด้านใน ส่วนตนเองสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์สวมหมวกแก๊ปเข้าไปจนทำฝากเงินที่ตู้อัตโนมัติเสร็จจึงพากันเดินออกมา โดยมีตำรวจที่ดูแลความเรียบร้อยด้านในเดินตามออกมา ก่อนจะยืนเถียงกัน ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะชักปืนขึ้นมาแล้วยิงจำนวน 1 นัด กระสุนถูกฝ่าเท้าเพื่อนตนเองจนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งตนเองนำเงินมาฝากที่ธนาคารเป็นประจำ โดยขณะที่ตนเองเข้าไปฝากเงินกับเพื่อนตนเองคนก่อเหตุนั่งตาแดงอยู่ ตนเองก็ไม่รู้เกิดจากอะไร

ทางด้าน น.ส.สุดารัตน์  อายุ 27 ปี เพื่อนคนเจ็บ เปิดเผยว่า ตำรวจกับคนเจ็บมีปากเสียงกันมาตั้งแต่ด้านในห้าง โดยตำรวจบอกว่าทำไมไม่ถอดหมวกกันน็อค ก่อนที่คนเจ็บจะคุยกับเพื่อนที่มาด้วยกันว่าเขาจะมาด่าทำไม จากนั้นก็เกิดเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด จนเพื่อนตนเองได้รับบาดเจ็บ

ทางด้าน พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ มิตรปราสาท ผกก.สภ.คลองหลวง เปิดเผยว่า หลังทราบเรื่องจึงได้เดินทางไปตรวจสอบและสอบปากคำเบื้องต้นทราบว่า ร.ต.ท.ภัณเต รองสว.จร.สภ.คลองหลวง ปฏิบัติหน้าที่สายตรวจเดินเท้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซีสาขาคลองสาม ผู้ที่ใช้อาวุธปืนเห็นว่าผู้เสียหายเดินใส่หมวกกันน็อคเข้าห้างสรรพสินค้า เกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายเพราะที่ผ่านมาเคยมีเหตุชิงทรัพย์ธนาคารร้านค้าทองมาแล้ว ตำรวจจึงเข้าไปพูดคุยเพื่อให้ถอดหมวกจนเกิดการโต้เถียงกัน กระทั่งผู้เสียหายฝากเงินเสร็จเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เดินประกบไปห่างๆ เพราะทางออกต้องผ่านร้านค้าทองและธนาคารกลัวเรื่องความปลอดภัย

กระทั่งมาถึงประตูหน้าห้างสรรพสินค้าตำรวจได้ชักปืนออกมาจากซองพกจนทำให้อาวุธปืนลั่น กระสุนถูกฝ่าเท้าผู้เสียหาย หลังจากนี้จะได้สอบปากคำผู้ก่อเหตุ ผู้เสียหาย พยานบุคคลและตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงในคดีเพื่อดำเนินคดีโดยจะให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย ขณะที่มาตรการความปลอดภัยของสถานที่การเข้าห้างสรรพสินค้า ธนาคาร ร้านค้าทอง จะห้ามใส่หมวกกันน็อคเข้ามาด้านในเพราะพฤติกรรมของคนร้ายที่เคยก่อเหตุจะใส่หมวกกันน็อคเข้ามา

กรณีที่เพื่อนผู้ได้รับบาดเจ็บสังเกตเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้อาวุธปืนมีใบหน้าที่แดง แววตาแดงเกรงว่าจะเมาสุรา พนักงานสอบสวนได้ ใช้เครื่องตรวจเป่าแอลกอฮอล์จากลมหายใจเพื่อวัดปริมาณแอลกอฮอล์โดยค่าออกมาเป็น0 หรือไม่มีแอลกอฮอล์ สำหรับตำรวจนายนี้มีโรคประจำตัวเป็นโรคเบาหวาน และโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่งจะเข้ารับการผ่าตัดเมื่อไม่นานมานี้ แล้วกลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ

ล่าสุด พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ มิตรปราสาท ผกก.สภ.คลองหลวง กล่าวว่า ขณะนี้ทางผู้เสียหายได้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล และได้สอบปากคำพี่ชายและเพื่อนของผู้เสียหายที่อยู่ในเหตุการณ์แล้ว เบื้องต้นได้แจ้งข้อหา ร.ต.ท.ภัณเต ในข้อหาทำร้ายร่างกาย ส่วนหากมีข้อหาอื่นจะได้แจ้งเพิ่มเติม ซึ่งกรณีนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ที่เกิดเหตุมีพยานหลักฐานและกล้องวงจรปิด พยานที่เห็นเหตุการณ์มีค่อนข้างเยอะ และมีคนถ่ายคลิปขณะเกิดเหตุการณ์เอาไว้ได้ ซึ่งยังไม่มีการสอบปากคำผู้เสียหาย ต้องรอให้ออกจากโรงพยาบาลก่อน

ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจรายดังกล่าว ได้สั่งย้ายมาทำงานในตำแหน่งธุรการไปก่อนจนกว่าจะสอบสวนเสร็จ ส่วนผู้บังคับบัญชาระดับสูง ได้สั่งการลงมาให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook