ทนายไพศาล ชี้ สส.ก้าวไกล วิวาทคู่กรณี เป็นคดีอาญายอมความไม่ได้ ตำรวจต้องดำเนินคดี

ทนายไพศาล ชี้ สส.ก้าวไกล วิวาทคู่กรณี เป็นคดีอาญายอมความไม่ได้ ตำรวจต้องดำเนินคดี

ทนายไพศาล ชี้ สส.ก้าวไกล วิวาทคู่กรณี เป็นคดีอาญายอมความไม่ได้ ตำรวจต้องดำเนินคดี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ทนายไพศาล ชี้คดี "ต้นกล้า" สส.ก้าวไกล วิวาทคู่กรณีที่ร้านย่านเอกมัย เป็นคดีอาญายอมความไม่ได้ ตำรวจต้องดำเนินคดี พร้อมระบุเป็น สส.ต้องมีสติควบคุมอารมณ์

ทนาย ไพศาล เรืองฤทธิ์ เปิดเผยกรณีเกิดเหตุทะเลาะวิวาทกันระหว่างนักเที่ยวและสส.ก้าวไกลที่ร้านอาหารยานเอกมัย 12 ว่า แม้กรณีดังกล่าวไม่ใช่เหตุซึ่งหน้าไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่แต่ถ้ามีคลิปวิดิโอเผยแพร่ไปสู่สาธารณะ ไม่ว่าบุคคลที่ก่อเหตุเป็นบุคคลสำคัญหรือนักการเมืองก็ตาม ตำรวจมีหน้าที่เรียกมาสอบเพื่อพิสูจน์ตัวบุคคลและมาปรับ

ถึงแม้เป็นข้อหาที่ไม่ได้บาดเจ็บแก่กายหรืออันตรายอะไรตามมาตรา 391 ต้องมีโทษปรับตำรวจต้องออกหมายเรียกถึงแม้คู่กรณีจะยอมความกัน เพราะการชกต่อยและทำร้ายกันเป็นคดีอาญาลหุโทษยอมความกัน ตอนนี้ตำรวจทราบเรื่องและเห็นคลิปหลักฐานแล้วต้องเรียกคู่กรณีมาและต้องมาพิสูจน์ตัวบุคคลและปรับคดีอาญาถึงจะเป็นอันเลิกกัน หากตำรวจไม่ดำเนินการเพราะคู่กรณียอมความกันก็จะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 เพราะหากไม่ดำเนินคดีประชาชนทั่วไปก็ชกต่อยและทำร้ายกันได้ทั่วบ้านทั่วเมือง

ส่วนร้านดังกล่าวเปิดเกินเวลาหรือไม่และ สส.มาใช้เที่ยวจนมีเรื่องกันจะกระทบกับตำแหน่ง สส.หรือไม่นั้น ทนายไพศาล กล่าวว่าไม่ว่าร้านดังกล่าวเป็นร้านอาหารเป็นผับหรือบาร์ จะเปิดเกินหรือไม่ ตำรวจก็จะต้องออกหมายเรียกเจ้าของร้านมาตรวจสอบว่ามีใบอนุญาตหรือไม่และให้เปิดได้ถึงกี่โมง มีการเปิดเกินเวลาหรือไม่แล้วทำไมถึงยังไม่ปิดให้บริการ

ส่วนจะมีผลต่อศีลธรรมจริยธรรมทางการเมืองหรือไม่นั้น จากที่ได้ดูคลิปเหตุการณ์และตอบเป็นกลาง จะเห็นว่าขณะเกิดเหตุชายเสื้อดำน่าจะเข้าไปแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงอีกโต๊ะและมีชายที่ใส่เสื้อกั๊ก (สส.ต้นกล้า) ปัดมือชายคนนั้นออกเพื่อเป็นการป้องกัน จากนั้นชายเสื้อดำก็เข้ามาทำร้าย

หากคนที่ถูกทำร้ายเป็น สส.หรือนักการเมืองต้องมีสติและระงับเหตุต้องป้องปรามและไปแจ้งความร้องทุกข์ เพราะการไปร่วมก่อเหตุด้วยจะกลายเป็นไม่ใช่ผู้เสียหาย และฝ่ายนั้นมีคนเดียว คนที่อยู่ด้วยกับทางผู้เสียหายจะต้องช่วยกันห้ามปรามไม่ใช่เข้าไปร่วมกันป้องกัน เพราะต้องดูความเหมาะสมด้วย

หากอ้างว่าเป็น สส.ด้วยเป็นเรื่องของศีลธรรมจริยธรรมเพราะเรื่องสติอารมณ์ต้องรู้จักควบคุมเพราะเป็นผู้แทนของประชาชน แม้การไปนั่งดื่มสถานดังกล่าวเป็นสิทธิ์ก็ตาม แต่สติต้องมีเพราะเป็น สส.ต้องใช้เหตุใช้ผลใช้กฎหมายเป็นแบบอย่างให้เยาวชนด้วย

ด้าน พ.ต.อ.วชิรากรณ์ วงศ์บุญ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลคลองตัน บอกว่า ได้รับแจ้งเหตุในคืนวันเกิดเหตุตำรวจก็เข้าไปตรวจสอบ ซึ่งช่วงที่ตำรวจไปตรวจสอบนั้นทางร้านได้ปิดให้บริการไปแล้วในตั้งแต่ในเวลา 2 นาฬิกา ซึ่งเหตุทะเลาะวิวาทเกิดในช่วงที่ร้านกำลังทยอยปิด แล้วลูกค้ากำลังทยอยเดินออกจากร้าน

พร้อมยืนยันว่า มี สส.พรรคก้าวไกลอยู่ในเหตุการณ์จริง ตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้ว เบื้องต้นคู่กรณีทั้งสองฝ่ายไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ส่วนปมปัญหาที่เกิดขึ้น มาเกิดฝ่ายหนึ่งเมา เข้ามาพยายาม คุยกับเพื่อนสาวในกลุ่มของ สส. จึงนำไปสู่เหตุทะเลาะวิวาทบานปลาย

ล่าสุด คู่กรณีทั้งสองฝ่าย ยังไม่มีการเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกันแต่ทราบว่าทั้งสองฝ่ายมีการขอโทษขอโพยกันไปแล้ว ซึ่งคดีนี้แม้จะเป็นคดีทำร้ายร่างกาย แต่เมื่อคู่กรณีทั้งสองฝ่ายเจรจาตกลงยอมความกันได้ ก็จบไป แต่หากมีความประสงค์ที่จะเจ้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษตำรวจก็ยินดีที่จะสอบสวนดำเนินคดีให้

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook