อ้น เจอศึกหนัก ช่อง 3 สั่งแบน ยันคุยผู้ใหญ่แล้ว ไม่มีปัญหา
ตกเป็นประเด็นฮอตตั้งแต่ต้นปีอีกคน
สำหรับ พ.ศ.นี้เรียกว่าดาราคนไหนๆ ก็ฮิตสลัดผ้าถ่ายหวือกันหลายคนเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นหนุ่ม "อั้ม-อธิชาติ ชุมนานนท์" หรือจะเป็นสาว "เป้ย-ปานวาด เหมมณี" และก็ยังมีอีกหนึ่งหนุ่มที่แอบไปสลัดผ่แชะหวือกับเค้าอีกคน นั่นก็คือหนุ่ม "อ้น สราวุฒิ มาตรทอง" พระเอกหนุ่มมากความสามารถที่จู่ๆ ก็ตัดสินใจโดยไม่ปรึกษาแม้แต่ต้นสังกัดของตัวเองนั่นก็คอช่อง 3 เดินเข้าไปขอแชะหวือด้วยตัวเองเลยก็ว่าได้ ล่าสุดก็เลยมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ออกมาว่าผู้ใหญ่ทางช่องนั้นไม่พอใจอย่างมากเตรียมถอดหนุ่มอ้น ในบทเทวดาสาธุ ที่หนุ่มอ้นรับเล่นอยู่ เพราะว่าปฏิบัติตัวไม่เหมาะสมกับบทที่ได้รับหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งงานนี้ผู้ใหญ่ทางช่องก็เอ่ยปากเองว่าทางช่องไม่มีนโยบายที่จะให้นักแสดงในสังกัดช่องไปถ่ายอะไรที่หวือหวาแบบนั้นเพราะเห็นว่ามันไม่สมควร
ถามเรื่องถ่ายแฟชั่นหน่อย
"ก็ตอบได้เลย จริงมันก็เป็นแค่งานอีกงานนึงแค่นั้นเองผมก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับมันแค่เป็นโจทย์อีกหนึ่งโจทย์แล้วก็แยกเป็นสองส่วนก็คืองานกับชีวิตปกติ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าใครได้เคยมาดูโชว์ซุปเปอร์สตาร์เวลาที่โจทย์บอกว่าให้ผมเป็นอะไรผมก็จะไปให้ถึง ไม่ว่าจะเป็นบียองเซ่ ไม่ว่าจะเป็น เฮ้งเจีย หรือเป็น ฟอเรสกัม ปัญญาอ่อน หรืออะไรก็ตามแต่ผมก็จะนำเสนอสิ่งเหล่านั้นไปสู่คนดู คนดูจะได้รู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทีนี้คอนเซ็ปที่ได้เห็นมันก็เป็นคอนเซ็ปที่เป็นของเรื่องความรุนแรงนิดหน่อย แต่มันก็อยู่ในภายใต้แฟชั่น เราก็เป็นนักแสดงเราทำงานในฐานะนักแสดง"
ตัดสินใจนานมั้ย
"ก็ไม่นานนะครับ คือจริงๆ ผมคุยกับพี่นัฐก่อนครับ ผมอยากทำงานด้วยกัน เพราะว่าผมชอบทำงานกับคนเก่งๆ แล้วก็เห็นงานที่โอปอล์ถามกับพี่นัฐ แล้วก็เลยแบบอื้ม คุยกับโอปอล์ว่าเก็บงานไว้นะ มันไม่ได้สวยสดไปตลอดนะ คุยไปคุยมาก็เลยคิดว่าเราไปคุยกับพี่นัฐดีกว่าแล้วก็คอนเซ้ปมันอาจจะแรงใช่ คนเองก็ไม่ค่อยได้เห็นภาพผมแบบนั้น แต่ผมไม่ได้แต่งชุดอย่างนั้นเดินถนนนะครับ นั่นก็คืออีกโจทย์หนึ่ง สมมุติว่าผมเล่นละครเป็นฆาตรกร หรือเป็นคนบ้า ผมจะเป็นอย่างนั้นในชีวิตจริงมั้ย ผมแค่ทำการแสดง"
แล้วได้ตรวจดูงานก่อนออกมามั้ย
"ใช่ผมตรวจดูงานทุกชิ้นก่อนแล้ว ยกเว้นอันนึงที่อยู่ในอินเตอร์เน็ต ผมไปเปิดที่มันเป็นเหมือนตัวผมแก้ผ้าแล้วมีหนังพันตัว อันนั้นไม่ใช่ผมนะครับ อันนั้นไม่ใช่นอกนั้นผมตรวจงานหมดแล้วโอเค"
ฟีดแบ็คคนรอบข้างว่าไงบ้าง
"คนรอบข้างพอผมทำผมก็บอกไปแล้วว่าผมทำงานนะ แล้วก็ มันอาจจะแรงนิดนึงนะ แต่ว่าผมรักมัน ผมรักงานที่ชิ้นที่ผมทำ ก็ยังกลับไปที่เรื่องเดิม คือว่าตอนที่ผมโชว์ซุปเปอร์สตาร์ที่เป็นบียองเซ่ผมก็กลัวนิดนึง แต่คิดว่ากลัวแล้วงานมันไปไม่ถึงจุดหมาย ผมคิดว่าผมอย่าทำดีกว่า ก็เลยคิดว่าเมื่อผมทำงาน เราต้องทำให้ถึงจุดหมาย แล้วก็เสร็จงานก็คือเสร็จงาน คิดแค่นั้น มันก็เป็นอีกหนึ่งาน มันก็เป็นอีกหนึ่งโจทย์ อยากให้คนดูดูการแสดง ก็จบ ที่บ้านก็เข้าใจครับ"
กับผู้ใหญ่ทางช่องว่ายังไง
"ไม่ได้คุยกับผู้ใหญ๋เป็นเรื่องเป็นราว สำหรับผมผมก็คิดว่าผมก็ทำงานอีกชิ้นหนึ่ง แต่ก็ได้ยินว่ามีพี่ๆ นักข่าวไปถามพี่หน่องครับ คืออันนั้นขอไม่พูดถึงเพราะว่ามันเป็นใน่สวนของผู้ใหญ่เค้า ในส่วนของผมผมทำงาน แล้วผมก็เคารพในการตัดสินใจของเค้า หรือว่าคำตอบ แต่ว่าตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร"
แต่คือเหมือนผู้ใหญ๋ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
"อันนั้นขอไม่ตอบตรงกระแสข่าวครับ เพราะว่าสมมุติว่าถามผมว่าชอบกินทุเรียนมั้ยผมจะตอบว่าผมไม่ชอบทุเรียน คือคนเรามีสิทธิจะตอบคำถามครับ แต่ว่างานก็ส่วนงานมันคนล่ะส่วนกัน"
แล้วผู้ใหญ่มีเรียกคุยมั้ย
"ก็ยังไม่มีอะไร คือผมก็ได้เจอพี่หน่อง แล้วผมก็บอกว่าพี่หน่องครับ ขอโทษนะครับที่มันหวือหวาไปนิดนึง แต่ว่าพี่หน่องเข้าใจผมใช่มั้ย พี่หน่องก็บอกว่าในฐานะนักแสดงพี่หน่องเข้าใจมานานแล้ว ก็มองผมเป็นนักแสดง มันก็เป็นงานแสดงเป็นอีกหนึ่งโจทย์ ก็มันก็มีหลายโจทย์นะเวลาที่ผมทำหล่อๆ ใสๆ ก็หนึ่งโจทย์ หรือว่าเวลาที่ผมเป็นบ้าๆ บอๆ ก็หนึ่งโจทย์ หรือผมเล่นอะไรก็แล้วแต่ ชีวิตจริงของผมถูกแยกไว้ตรงนี้ แต่ทุกอย่างที่เห็นผมทำงานมันตรงนี้ ให้ผมเป็นอะไรก็ได้ แต่นี่คือผมนี่คือตัวผม"
ด้วยความที่เป็นเทวดามาตลอดพอมาเป็นแบบนี้กลัวจะมีผลกระทบมั้ย
"เป็นการยื่นคำถามให้คนดูมากกว่าว่า คนส่วนใหญ่เนี๊ยผมมั่นใจว่ามีไม่ได้ทุกคนที่ติดตามงานผมมาตลอด ถ้าคนที่ติดตามงานผมมาตลอดจะรู้ว่าอ้นทำงานแล้วจะเข้าใจผม แต่ถ้าคนที่รับรู้จากสื่อที่นำเสนอบางงานเท่านั้น เค้าก็อาจจะอื้งๆ กับบางงาน ทีนี้พออย่างภาคเทวดาเนี๊ย ผมไม่ใช่เทวดาครับ ผมเป็นอ้น สราวุฒิ ครับ แล้วบังเอิญว่าเค้าให้ผมเล่นเป็นเทวดา แล้วบังเอิญว่าผมเล่นแล้วคนเชื่อ เพราะว่าผมเล่นดีใช่มั้ย ก็นั่นก็คืออีกหนึ่งงาน พอถอดชุดขาวก็เป็นอ้น สราวุฒิ แล้วหนังสือเล่มนี้เค้าให้โจทย์มาผมก็ไปเล่น บังเอิญว่าผมเล่นดี คนก็เชื่อ แล้วพอผมถอดชุดเค้าผมก็เป็นอ้น สราวุฒิ
แล้วถ้ามีติดต่อมาอีกล่ะจะรับมั้ย
"อันนี้พูดเลยนะว่า ชีวิตจากวันนี้ไปเนี๊ย ชีวิตผมดิ้นรนน้อยลงครับ เพราะว่าผมไม่มีหนี้สิน เพราะฉะนั้นจากนี้ไปที่ผมทำงานเนี๊ย ผมไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน เงินเป็นปัจจัยที่ 2-3 ของผม ผมอยากทำงาน ถ้าสมมุติว่ามีใครก็ตาม นักเรียน ศิลปะ หรือว่าคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ หรือคนเก่ง ตอนนี้ผมอยากทำงานด้วย ผมรู้สึกว่าผมอยากทำงานกับคนเก่งๆ คนที่มีไอเดียร์สร้างสรรค์ เราคุยกันได้ถ้างานเจ๋ง เงินไม่ใช่ที่หนึ่งของผม หรืออาจจะเป็นหนัง เพราะว่ามีคนทาบทามว่าถ้าเกิดเด็กๆ เค้าทำหนังกัน อ้นจะเล่นมั้ย ถ้าบทเจ๋งก็เล่นนะ คือผมไม่ได้อยู่ติดเพดานน่ะ ผมอยากทำงาน คือไม่ใช่ว่าแบบพอมีชื่อเสียงขึ้นมาก็ต้องติดเพดานแล้วผมจะชื่นชมความคิดใหม่ของเด็กรุ่นใหม่ๆ อยู่เสมอ รู้สึกว่าไอเดียร์หรือศิลปะความคิดสร้างสรรค์มันมีอยู่เยอะมาก แต่ว่าบางทีผมต้องการทรัพยากรบุคคล แต่ว่าบางทีเค้าอาจจะไม่กล้าไปเรียกเรา เค้าจะคิดว่าเราเป็นดาราดังรึเปล่า สำหรับผม ผมอ้น สราวุฒิ ไม่ใช่ตรงนั้นครับ คือจากนี้ไปถ้าใครมีอะไรก็ตามแต่ที่คุณคิดว่างานคุณเจ๋ง แล้วคุณคิดว่าคุณมีของ แล้วคุณอยากได้ทรัพยากรบุคคลที่อยากร่วมงานด้วย ผมอยากทำงาน เงินคุยกันได้ มันไม่ใช่ปัจจัยที่หนึ่งของผม ถ้างานคุณดีเราทำงานกัน"
แล้วจะมีอีกมั้ย
"ก็เนี๊ยผมบอกไว้ตรงนี้เลย จริงๆ แล้วการทำอิมเมจเนี๊ยการเป็นการทำงานอีกชิ้นหนึ่งในห้องที่วางโชว์ไว้น่ะ คืองานชิ้นนี้คนอาจจะชอบก็มาชื่นชม แต่คนไหนไม่ชอบก็เดินผ่านไป ก็ไปชื่นชมงานชิ้นอื่น มันเป็นปกติของคนทำงาน แล้วมันนต้องก้าวต่อไป สมมุติว่าเราจะมานั่งอยู่ที่เดิม หรือว่าอะไรที่เราเคยผิดพลาดมาแล้วเราไปจมอยู่กับมัน แล้วชีวิตเราอยู่ไหนล่ะ แล้วโลกข้างหน้าของเราอยู่ไหนล่ะ ความสุขของเราอยู่ไหนล่ะ แต่ผมอยากมีความสุขผมอยากมีชีวิต ผมอยากตัดสินใจด้วยตัวเอง ผมอยากทำงาน แล้วผมก็อยากสร้างสรรค์ แล้วถ้าเกิดว่าจะมีงานใหม่ๆ เข้ามาแล้วผมพิจารณาว่ามันน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นงานจากศิลปินเก่งๆ หรือว่า ครีเอทีฟรุ่นใหม่หรือใครก็ตามหรืออาจจะเป็นหนังเด็ก ซึ่งผมรู้สึกว่าผมอยากทำงาน"