ผลวิจัยสุดทึ่ง! แฝดพี่ "ดูแก่" กว่าแฝดน้อง 11 ปี เป็นเพราะไลฟ์สไตล์ 2 อย่าง
"ฝาแฝด" นอกจากอายุเท่ากันแล้ว โดยส่วนมากก็มักจะเกิดมามีหน้าตาที่คล้ายกันด้วย แต่นิสัยการใช้ชีวิตก็อาจส่งผลกระทบให้เติบโตมาแตกต่างกันได้ เช่นเดียวกับผู้หญิงฝาแฝดคู่หนึ่งในสหรัฐฯ ที่ดูราวกับว่าอายุห่างกันมากกว่า 10 ปี เหตุผลหลักคือนิสัยที่ไม่ดี 2 ประการ สูบบุหรี่ และตากแดด
ตามรายงานของ Daily Star พบว่ามีผู้หญิงฝาแฝดในสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมเป็นตัวอย่างในการศึกษากับทีมวิจัย ทั้งสองคนมีอายุ 61 ปี แต่มีนิสัยการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง จากการเปรียบเทียบจะเห็นได้ว่า แฝดน้องอย่าง "จีนน์" ดูมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์กว่ามาก ในขณะที่แฝดพี่อย่าง "ซูซาน" ผิวพรรณค่อนข้างแย่มาก ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย
การศึกษาพบว่า "ซูซาน" นักสูบบุหรี่ตัวยง มีผิวพรรณที่แก่กว่าน้องสาวฝาแฝดถึง "11 ปีครึ่ง" โดยเจ้าตัวเล่าว่าสูบบุหรี่มา 16 ปีแล้ว และยังชอบอาบแดดมาตั้งแต่อายุ 20 ปีอีกด้วย ในส่วนของน้ำหนักตัว เธอหนักน้อยกว่าจีนน์ประมาณ 6.8 กก.
ในทางกลับกัน "จีนน์" อุทิศชีวิตให้กับการปลอดบุหรี่ และดูแลผิวของเธอขณะอยู่กลางแดดเสมอ โดยเธอจะ "รับแสงแดดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้" เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายจากรังสียูวีต่อผิว แม้ว่าเธอจะมีสัญญาณของความชราตามอายุ แต่ผิวพรรณก็ดูมีสุขภาพดีกว่าพี่สาวมาก
ศัลยแพทย์พลาสติก อธิบายว่าการได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตมากเกินไป ทำให้ซูซานมีสีผิวเปลี่ยนไปเป็นหย่อมๆ เกิดเป็นจุดด่างอายุ และลดความยืดหยุ่นของผิว ซึ่งทำให้เกิดริ้วรอย
ทั้งนี้ ตามรายงานยังระบุด้วยว่า การศึกษาวิจัยข้างต้นเกิดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 แต่เพิ่งจะกลายมาเป็นกระแสอีกครั้งใน Reddit ฟอรัมยอดนิยมของคนในสหรัฐฯ ผู้คนต่างประหลาดใจกับความแตกต่างของฝาแฝดคู่นี้ และมีการพิมพ์แสดงความคิดเห็นไว้มากมาย เช่น
"การสูบบุหรี่จัดและเจอแสงแดดจัด ทำให้ผิวหนังกลายเป็นหนัง"
"ฉันเคยเห็นคนชอบอาบแดดตอนแก่ตัว แล้วฉันก็คิดได้ว่ายอมมีก้นสีซีดๆ ยังดีกว่า"
"ใช่เลย แม่ของฉันเป็นแฝดเหมือนกัน ซึ่งน้องสาวของแม่สูบบุหรี่ และความแตกต่างก็น่าทึ่งมาก"
"ฉันเคยทำงานกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ชอบอาบแดด ฉันคิดว่าเธออายุ 50 กว่าๆ แต่ปรากฎว่าเธออายุแค่ 35 ปีเท่านั้น"
"ฉันจำได้ว่าตอนเด็กๆ พ่อเคยพาไปที่ทำงานด้วย และตกใจมากที่ดูเหมือนว่าพ่อจะเด็กสุดในออฟฟิศ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ จริงๆ พ่อมีอายุมากที่สุดเป็นอันดับสองที่นั่น แต่เป็นคนเดียวที่ไม่สูบบุหรี่”
"งานวิจัยนี้ทำให้ฉันกลัวไปตลอดชีวิต และตั้งแต่นั้นมาฉันก็ไม่เคยแม้แต่จะลองสูบบุหรี่ด้วยซ้ำ