"พิชิต ชื่นบาน" นั่งที่ปรึกษานายกฯ ยันไม่ใช่ทนายถุงขนม หิ้วเงินติดสินบนเจ้าหน้าที่

"พิชิต ชื่นบาน" นั่งที่ปรึกษานายกฯ ยันไม่ใช่ทนายถุงขนม หิ้วเงินติดสินบนเจ้าหน้าที่

"พิชิต ชื่นบาน" นั่งที่ปรึกษานายกฯ ยันไม่ใช่ทนายถุงขนม หิ้วเงินติดสินบนเจ้าหน้าที่
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“พิชิต ชื่นบาน” เปิดใจค้านหัวชนฝา ไม่ใช่ทนายถุงขนม หิ้วเงินติดสินบนเจ้าหน้าที่ แจงได้รับตั้งเป็นที่ปรึกษานายกฯ ไม่ใช่การปลอบใจหลังพลาดเก้าอี้ รมต.รัฐบาลเศรษฐา 1

นายพิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เปิดความจริงที่ไม่เคยพูดกว่า 15 ปี ย้ำว่าการได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีไม่ใช่เป็นการปลอบใจหลังพลาดโอกาสนั่งรัฐมนตรีในรัฐบาลเศรษฐา 1 พร้อมยืนยันว่า การตรวจสอบคุณสมบัตินั้นตนเองไม่ได้ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี แต่เหตุที่ถอนตัวเนื่องจากให้รัฐบาลได้เดินหน้าทำงานให้เร็วที่สุด ส่วนตัวต้องการใช้ความสามารถในการทำงานในการ ช่วยเหลือรัฐบาลและประเทศชาติ

ทั้งนี้ การมากล่าวหาตน ถือว่ามากล่าวหาทางการเมือง เลยไม่โกรธเมื่อเราจะเข้าสู่การเมืองเราต้องพร้อมรับ ตนขอโอกาสทำงานและขอเอาผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ แล้วกระบวนการคนไกลตรวจสอบมีเมื่อตนเองทำงานแล้วหากประพฤติผิดต่อตำแหน่งหน้าที่อย่างไร อยากให้พิสูจน์ตรงนั้นมากกว่า

นายพิชิต ยังขอความเป็นธรรมหลังจากนี้ที่จะเข้ามาทำงานการเมือง พร้อมเปิดเผยความจริงในรอบ 15 ปีนับตั้งแต่มีคดีการละเมิดอำนาจศาล เมื่อปี 2551 ขอยืนยันว่าไม่ใช่ “ทนายถุงขนม” เนื่องจากไม่มีเหตุจูงใจในการ นำเงินไปติดสินบนเจ้าหน้าที่ศาลซึ่งในคำสั่งศาลฎีกาก็ระบุว่าเป็นบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ตนเองหรือทีมทนายความของตนเองจึงไม่มีเหตุให้กระทำการตามที่กล่าวหา

ส่วนเรื่องเงินจำนวน 2 ล้านบาทที่ไปปรากฏอยู่ที่ศาล ขอยืนยันต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระสยามเทวาธิราช ตนเองไม่รู้เรื่องนี้ ซึ่งหากรู้เรื่องนี้จะค้านหัวชนฝา รวมทั้งแรงจูงใจว่าจะทำไปเพื่ออะไรซึ่งในวันนั้นตนเองคุยแนวทางการต่อสู้กับลูกความ และไม่ได้ออกไปอยู่ข้างนอก ซึ่งเรื่องนี้ตนมาทราบเรื่องในภายหลัง คำสั่งที่ออกมาทั้งพนักงานสอบสวนก็มีคำสั่งไม่ฟ้อง อัยการได้ตรวจสำนวน ก็มีคำสั่งเด็ดขาดว่าไม่มีความผิดฐานให้สินบน

นอกจากนี้ นายพิชิต ยังระบุว่าไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการอุทธรณ์ เนื่องจากเหตุเกิดขึ้นที่ศาลฎีกาจึงไม่ได้มีโอกาสได้พิสูจน์ข้อเท็จจริง ซึ่งเหตุทั้งหมดเกิดในศาลฎีกาถือเป็นข้อยุติแล้ว จึงขอความเป็นธรรมให้ตนเองและขอความเป็นธรรมที่หลังจากนี้จะเดินหน้าในการนำความรู้ความสามารถในทางกฎหมายมาใช้ประโยชน์เพื่อประเทศชาติ ส่วนในอนาคตหากจะได้เป็นรัฐมนตรีหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้ใหญ่

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook