มสธ.จุดประกายปริญญาครอบครัว
แม้จะเป็นเพียงสถาบันเล็กในสังคม แต่ ครอบครัว ถือเป็นอีกสถาบันหนึ่งที่ทุกคนต่างตระหนักถึงคุณค่า และให้ความสำคัญกับกิจกรรมต่างๆ ที่คนภายในครอบครัวจะทำร่วมกัน เพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์ รวมทั้งเพิ่มความรัก ความอบอุ่น ให้เกิดขึ้นระหว่างสมาชิก สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะทำให้ครอบครัวมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น
กิจกรรม "การเรียนหนังสือ" อีกหนึ่งรูปแบบที่สามารถเพิ่มความรัก และความอบอุ่นให้กับคนภายในครอบครัวได้ไม่แพ้กับกิจกรรมอื่นๆ ดังเช่นครอบครัว "เลิศกมลกาญจน์" ประกอบด้วย นายวิวัฒน์ อายุ 56 ปี บิดา นางประมวล อายุ 54 ปี มารดา และนายวรณัฐ อายุ 26 ปี ลูกชายคนโต ทั้ง 3 คน ตัดสินใจเข้าศึกษา ต่อระดับปริญญาตรี สาขาวิชาวิทยาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจ เมื่อปี 2548 เพราะเห็นตรงกันว่า ความรู้เป็นสิ่งสำคัญ และสามารถนำมาพัฒนาต่อยอดธุรกิจค้าขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ จนสำเร็จการศึกษาในปี 2551
ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้เข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีชักชวนกันเรียนต่อในระดับปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) สถาบันที่เพียบพร้อมไปด้วยความรู้ที่ไม่ว่าใครก็เรียนได้ จนประสบความสำเร็จคว้าปริญญาบริหารธุรกิจบัณฑิตใบแรกได้พร้อมกันถึง 3 คน
วรณัฐ เลิศกมลกาญจน์ ลูกชายคนโต เล่าว่า แม่เป็นคนจุดประกายเรื่องนี้ เพราะท่านคิดว่าหากที่บ้านไม่ได้มีธุรกิจค้าขายแล้วเกรงว่าลูกชายจะไม่มีงานทำ เพราะไม่มีวุฒิการศึกษาเลยเสนอให้ผมไปเรียนต่อที่ มสธ. และก็เรียนเสริมด้านแอนนิเมชั่นควบคู่ไปด้วย แต่เนื่องจาก มสธ.ไม่ต้องเข้าห้องเรียน ไม่จำกัดอายุ แม่กับพ่อจึงอยากเรียนบ้างเลยชวนกันลงเรียนต่อด้วยกัน
"การเรียนกับครอบครัวรู้สึกดี ชอบ ไม่เขิน เพราะจะได้มีเพื่อนช่วยกันเรียน ช่วยกันคิด และสนุกกับการแข่งกันเองในครอบครัวด้วย แม้จะต้องช่วยพ่อแม่ดูแลร้าน แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเรียน เพราะเราใช้เวลาช่วงกลางคืนหลังปิดร้านมาทบทวนดูหนังสือ บางครั้งชวนกันมานั่งติววิเคราะห์ข้อสอบตามความถนัดของแต่ละคน โดยแม่จะเป็นตัวหลักในการที่จะเลือกวิชาลงทะเบียน คอยเตือนพ่อและลูกให้ขยันอ่านหนังสือ ทำแบบฝึกหัด และเป็นผู้ทบทวนในรายวิชาที่แม่ถนัด " วรณัฐ เล่าด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความภาคภูมิใจ
การเรียนถือเป็นสิ่งสำคัญ การปล่อยโอกาสหรือเวลาให้ล่วงเลยโดยเปล่าประโยชน์ อาจทำให้การดำรงชีวิตแห้งหาย เพราะปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การใฝ่รู้ ค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ เป็นสิ่งที่ทุกครอบครัวควรต้องคำนึงถึงเป็นที่สุด
เช่้นเดียวกับ คุณแม่ประมวล เลิศกมลกาญจน์ เล่าถึงความผูกพันในครอบครัวหลังจากที่ได้ทำกิจกรรมการเรียนร่วมกันว่า ปกติครอบครัวผูกพันกันอยู่แล้ว แต่เมื่อได้เข้ามาเรียนด้วยกันยิ่งทำให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น เพราะจะใช้เวลากลางคืนหลังจากขายของเสร็จดูหนังสือด้วยกัน นั่งคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ ก่อให้เกิดความรัก ความอบอุ่นโดยไม่รู้ตัว ที่สำคัญทำให้เธอมีความสุขและสนุกกับการเรียน เวลาไปทำกิจกรรมที่ต้องพบปะเพื่อนร่วมชั้น รู้สึกตื่นเต้น เพราะมีแต่รุ่นลูกๆ เสมือนกับการย้อนยุคไปในสมัยวัยเรียนอีกครั้ง
"ความรู้ที่ได้มามีค่ามาก สามารถนำไปใช้กับธุรกิจได้โดยตรง ทั้งเรื่องภาษีอากร การจัดสต๊อกสินค้า การบริหารจัดการ จึงถือเป็นการเลือกเดินที่ถูกทาง หลังจากนี้มีแผนที่จะเรียนต่อในสาขารัฐประศาสนศาสตร์ ส่วนลูกชายก็มีแผนเรียนต่อระดับปริญญาโททางด้านบริหาร เราภูมิใจกับความสำเร็จครั้งนี้ เพราะนี่เป็นปริญญาใบแรกในชีวิตของพวกเรา" คุณแม่ประมวล เล่าถึงความสำเร็จที่ได้รับโอกาส
ขณะที่ คุณพ่อวิวัฒน์ เลิศกมลกาญจน์ เล่าประสบการณ์ตลอดระยะเวลาการเป็นนักศึกษาในมสธ.ว่า ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรเหมือนกับคนอื่น เพราะอายุมากแล้ว และต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัวคงไม่มีที่จะเรียน แต่เมื่อได้เข้ามาที่มสธ. ทำให้เขารู้ว่าสถาบันแห่งนี้เปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียม กัน ทำให้ตัวเองมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง และที่นี่ทุกคนให้ความกันเอง
"อายุไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป การได้มาเรียนร่วมกันถือเป็นเรื่องที่ดีมาก สมองยังได้พัฒนาอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัวได้เป็นอย่างดี จึงอยากเชิญชวนครอบครัวอื่นๆ ได้ทดลองลงเรียนดู แล้วจะรู้ว่าคุ้มค่าจริงๆ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการเรียนก็ค่อนข้างถูกมาก เมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ " คุณพ่อวิวัฒน์ทิ้งท้าย
ครอบครัว "เลิศกมลกาญจน์" โอกาสที่ได้รับจากการเข้าศึกษาต่อที่ มสธ. อีกหนึ่งบทพิสูจท์ที่จุดประกายของคุณค่าความสำคัญในการเรียนให้เยาวชนไทย หรือบุคคลทั่วไปได้นำไปเป็นแบบอย่าง กิจกรรมสำหรับสถาบันครอบครัวที่เสมือนเป็นแรงผลักดันสร้างคุณภาพของชีวิตให้เติบโตขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
เพราะความรู้ เสมือนไฟที่จุดประกายให้คุณค่าของชีวิตเพิ่มพูล