7 วันแล้ว ด.ช.ถูก "นายพัน" ขับซาเล้งลวงออกจากวัด ตรวจประวัติเจอคดีอนาจารเด็กเพียบ

7 วันแล้ว ด.ช.ถูก "นายพัน" ขับซาเล้งลวงออกจากวัด ตรวจประวัติเจอคดีอนาจารเด็กเพียบ

7 วันแล้ว ด.ช.ถูก "นายพัน" ขับซาเล้งลวงออกจากวัด ตรวจประวัติเจอคดีอนาจารเด็กเพียบ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คืบหน้า 7 วันแล้วที่เด็กชาวเขาถูกชายขี่ซาเล้งล่อลวงออกจากวัดไป ชุดสืบสวนตามเกาะติดตามหาอย่างเร่งด่วน พบใช้มือถือล่าสุดที่ จ.อยุธยา

โดยล่าสุดวันนี้ (23 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวได้ภาพจากกล้องวงจรปิดที่ร้านขายโทรศัพท์ในตลาดอินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เมื่อวันที่ 16 ก.ย.66 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ คาดว่าหลังจากที่นายพันรับน้องมัวขึ้นรถซาเล้งมาแล้ว เลยพามาแวะร้านขายโทรศัพท์และซื้อซิมโทรศัพท์ใหม่ให้น้องมัว 1 ซิม ในราคา 150 บาท ก่อนที่จะพาไปพักที่โรงแรมสันติสุข

ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ต่อที่ สภ.อินทร์บุรี พบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พาเพื่อนน้องมัว 2 คนมายืนยันภาพถ่ายจากการค้นทะเบียนราษฎร์ ว่าคนในรูปเป็นคนเดียวกันกับนายพันที่ลักพาตัวน้องมัวไปหรือไม่ ซึ่งเพื่อนทั้งสองได้ยืนยันว่าเป็นคนเดียวกัน คือ นายปิยะพงษ์ หนองเฆ่ (บอย) แต่คนอื่นเรียกกันว่า นายพัน อายุ 36 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ที่ ต.ท่างาม อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี แต่ได้มาอยู่ในพื้นที่ จ.สิงห์บุรี ประมาณ 6 ปี

คาดว่าหนีคดีและหมายจับของศาลจังหวัดปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 ในข้อหา "พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล, พาเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเพื่อการอนาจาร กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่สามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพฯ, หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย"

และยังก่อคดีเมื่อเดือนกันยายน 2560 นายพันได้ล่อลวงเด็กชาย 4 คน อายุประมาณ 11-13 ปี ไปทำอนาจารในป่า บริเวณหมู่บ้านโคกไข่เต่า ต.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี แต่โชคดี มีเด็กคนหนึ่งหนีรอดออกมาได้และได้โทรศัพท์แจ้งตำรวจให้มาช่วยเหลือได้สำเร็จ นับว่าเป็นบุคคลที่อันตรายอย่างยิ่ง

ผู้สื่อข่าวยังได้ภาพกล้องวงจรปิดจากร้านรับซื้อของเก่าแถว ต.จักรสีห์ อ.เมืองสิงห์บุรี เมื่อวันที่ 16 ก.ย.66 ซึ่งเป็นร้านที่นายพันนำของเก่าที่เก็บได้มาขายที่ร้านนี้เป็นประจำ และภาพจากกล้องวงจรปิดเป็นภาพที่นายพันขี่ซาเล้งพาน้องมัวนำของมาขายเป็นวันสุดท้าย ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะออกจากพื้นที่ จ.สิงห์บุรี

ต่อมา ผู้สื่อข่าวยังได้ภาพจากกล้องวงจรปิดของร้านแห่งหนึ่งใน อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี ที่ได้รับซื้อซาเล้งจากนายพันไป โดยในภาพเป็นช่วงเวลา 9.30 น. ของวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา เป็นนาทีที่เจ้าของร้านเข็นรถซาเล้งไปเก็บที่โรงเก็บของที่อยู่ข้างๆ หลังเอาไปพ่นสีใหม่ และมีเจ้าหน้าที่ชุดสืบจังหวัดสิงห์บุรีไปสอบถามก่อนที่จะนำรถซาเล้งของกลางกลับมาที่ สภ.อินทร์บุรี

โดยเจ้าของร้าน เล่าว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ย.66 นายพันได้นำมาขายให้ โดยตั้งราคา 4,000 บาท แต่เจ้าของต่อรองเหลือ 3,600 บาท แล้วนายพันก็จูงน้องมัวซึ่งบอกกับเจ้าของร้านว่าเป็นลูกชาย จะเอาไปเรียนหนังสือที่ จ.ลพบุรี แต่น่าเสียดายที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ภาพจากกล้องวงจรปิดของร้านตอนนายพันเอารถซาเล้งมาขายเพราะถูกบันทึกทับไปแล้ว (บันทึกทับทุกๆ 5 วัน)

จากนั้นผู้สื่อข่าวได้ไปที่วัดโฉมศรี ต.ชีน้ำร้าย อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เพื่อไปถามความคืบหน้า โดยเข้าพบ พระปลัดสุรพล รองเจ้าอาวาสวัดโฉมศรี ผู้ดูแลเด็กชาวเขาที่มาเรียนหนังสือและพักประจำอยู่ที่วัดนี้ประมาณ 300 คน ส่วนน้องมัว อยู่ชั้น ม.1 แล้วก็จะไปเรียนที่วัดบางปูน แต่ยังพักอาศัยอยู่ที่วัดโฉมศรี

ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์ น้องไกรสร ผู้ที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า "เห็นคนร้ายขี่ซาเล้งมาเก็บของเก่าขายหลังวัดเป็นประจำทุกเสาร์อาทิตย์ เวลามาก็จะมาชวนพวกเขาคุย โดยเฉพาะกับน้องมัวชอบให้เงินพวกเขา แล้วเคยพาน้องมัวไปข้างนอกบ่อย ส่วนตัวน้องมัวเป็นคนนิ่มๆ ไม่ค่อยคุยกับใครมากนัก ชอบเล่นโทรศัพท์ จนโทรศัพท์เสีย ก็มายืมของเพื่อนไปเล่นบ้าง ตนและเพื่อนๆ คนอื่นเป็นห่วง น้องมัวกันมาก กลัวจะเกิดอันตรายกับเพื่อนของตน"

พอดีกับช่วงที่พ่อของน้องมัว ได้โทรทางไกลจากประเทศอิสราเอลเข้ามายังเครื่องของพระปลัดสุรพล เพื่อถามความคืบหน้าในการตามหาลูกชาย โดยพ่อบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า หลังรู้ว่าลูกหายไปก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดถึงลูก อยากได้ลูกคืน ที่ผ่านลูกไม่เคยเล่าเลยว่ารู้จักนายพัน ซึ่งถ้าลูกบอกสักคำว่า นายพันจะพาไปซื้อมือถือ ตนก็จะไม่ให้ไปเด็ดขาด จนมาเห็นรูปถ่ายในเฟซบุ๊กส์ของนายพันที่หอมแก้มลูกชาย ก็ตกใจกลัวลูกจะเป็นอันตราย จึงให้แม่น้องมัวโทรไปหาลูก ซึ่งตอนนั้นลูกยังบอกว่าอยู่ที่ จ.สระบุรี ผ่านไป 10 นาทีก็ปิดเครื่องติดต่อกันไม่ได้อีก โดยขอวอนคนร้ายให้นำลูกชายของตนมาคืนเสียที

ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่า ได้ข้อมูลการใช้โทรศัพท์ครั้งสุดท้ายของนายพัน เมื่อวันที่ 19 ก.ย.66 เวลา 18.00 น. ที่ อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา

อัลบั้มภาพ 12 ภาพ

อัลบั้มภาพ 12 ภาพ ของ 7 วันแล้ว ด.ช.ถูก "นายพัน" ขับซาเล้งลวงออกจากวัด ตรวจประวัติเจอคดีอนาจารเด็กเพียบ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook