ศาลฎีกามีอำนาจชี้ขาดคดียึดทรัพย์ทักษิณ
ผ่านไปแล้ว 3 ชม องค์คณะผู้พิพากษามีมติเอกฉันท์ ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ พร้อมระบุประกาศ คปค. ที่ให้ คตส.ตรวจสอบ ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
เมื่อเวลาประมาณ 13.30 น. องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมืองทั้ง 9 คน ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์เริ่มอ่านคำพิพากษายึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 76,000 ล้านบาท โดยผ่านไปแล้วกว่า 1 ชม. ท่ามกลางเกาะติดของสื่อมวลชนทุกแขนง
หลังจากผู้พิพากษาได้อ่านสำนวนฟ้องของอัยการสูงสุดแล้ว จึงได้เริ่มคำแย้งของทักษิณและครอบครัว เสร็จแล้วได้อ่านคำวินิจฉัยขององค์คณะผู้พิพากษาโดยเห็นว่าคุณหญิงพจมาน และครอบครัวชินวัตร มีความสัมพันธ์กันและเข้ารับสัมปทานโครงการของรัฐ
ต่อจากนั้นศาลได้วิเคราะห์ตามคำฟ้องและข้อโต้แย้ง เริ่มจากเห็นว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจในการวินิจฉัยคดีนี้
และเห็นว่าคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มีอำนาจไตร่สวนที่จะยื่นคำร้องตามประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประ (คปค.) และได้ดำเนินการตามกรอบเวลาที่กำหนดตามประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 แล้ว
และคณะอนุกรรมกาได้ให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงและพิสูจน์ทรัพย์สินอย่างเต็มที่ ไม่ได้ปิดกั้นผู้ถูกกล่าวหาตามที่อ้าง รวมถึงองค์ประกอบของ คตส.ก็ไม่มีปัญหาหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ถูกต้องแต่อย่างใด
องค์คณะผู้พิพากษามีมติเป็นเอกฉันท์ว่าคตส.มีอำนาจร้อง รวมทั้งพิเคราะห์ข้ออ้างของ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า กรรมการ คตส. ได้แก่ นายกล้าณรงค์ จันทิก นายบรรเจิด สิงคเนติ และนายแก้วสรร อติโพธิ เป็นปฎิปักษ์ นั้นฟังไม่ขึ้น