นักวิชาการเชื่อทักษิณกดปุ่มรุกหนักล้มรัฐบาล
นักวิชาการเชื่อทักษิณกดปุ่มรุกหนักล้มรัฐบาล
นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) กล่าวถึงกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินยึดทรัพย์จำนวน 46,373 ล้านบาท ว่ากลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงต้องความเคารพต่อคำตัดสินของศาล แต่เชื่อได้ว่าคนเสื้อแดงจะไม่หยุด เพราะระยะหลังมานี้จะเห็นได้ว่าในการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณแต่ละครั้งประกาศชัดต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะในนรก หรือบนสวรรค์ พร้อมทั้งจะบงการกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อเร่งกดดัน สร้างความปั่นป่วนให้แก่รัฐบาลเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยกระบวนการจะนำมาใช้ในหลายรูปแบบทั้งในสภา และนอกสภา
โดยในสภาจะใช้พรรคเพื่อไทยในการขับเคลื่อน นอกสภาก็นำโดยกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อกดดันให้รัฐบาลยุบสภาเลือกตั้งใหม่โดยเร็วที่สุด ซึ่งหากเป็นไปได้จริงก็จะเกิดผลดีแก่พรรคเพื่อไทย และตัวพ.ต.ท.ทักษิณเอง เพราะที่ผ่านมาทางพรรคเพื่อไทยก็ได้ประกาศหาเสียงไว้ล่วงหน้าแล้วว่า หากกลับมาเป็นรัฐบาลอีกก็พร้อมจะนำรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 กลับมาใช้ พร้อมทั้งเร่งรัดการนิรโทษกรรมให้พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งหากเลือกตั้งได้เร็วเท่าไร ก็มีโอกาสจะชนะได้เร็วขึ้น และก็อาจมีการกลับมารื้อฟื้นคดีต่างๆ ของพ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อหาหนทางแสวงผลประโยชน์ให้แก่ตัวเองต่อไป
"ภาพเช่นนั้นอาจเกิดขึ้นได้ก็จริงอยู่ แต่ไม่มีทางจะราบรื่น เพราะอย่างน้อยเชื่อว่าทางกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ต้องออกมาคัดค้านอย่างถึงที่สุดเช่นกัน และเชื่อว่าการต่อสู้ทางการเมืองก็จะเป็นเช่นนี้ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ประเทศไทยก็จะอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งอยู่ต่อไปเรื่อยๆ" อธิการบดีนิด้า กล่าว
นายสมบัติ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ในคำพิพากษาของศาลดังกล่าวก็มองว่าเป็นโอกาสที่จะสอนแง่คิดกับประชาชนได้เช่นกัน ในแง่นักการเมืองเองก็ต้องระมัดระวังในการใช้อำนาจในทางที่ไม่ถูกต้อง เพราะหากเจอการตรวจสอบก็อาจถูกลงโทษได้ ในส่วนประชาชนเองนี่ก็ถือเป็นบทเรียนสำคัญว่าคนที่ประพฤติมิชอบก็ไม่อาจลอยนวลได้ ซึ่งสังคมจะได้บทเรียนอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามีเสียงกล่าวอ้างมาตลอดจากกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ว่ากระบวนการยุติธรรมไทยใช้ระบบ 2 มาตรฐานนั้น เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นสิ่งที่สังคมจะยอมรับไม่ได้อีกต่อไป เพราะเป็นเพียงคำกล่าวอ้างของคนที่เสียประโยชน์เท่านั้น ซึ่งกระบวนการยุติธรรมหากผลออกมาเป็นเช่นไร จะถูกใจ หรือไม่ถูกใจก็ต้องเคารพคำตัดสิน
อย่างไรก็ตามรัฐบาลก็ต้องมีหน้าที่ดูแลความสงบ ต้องรับมือ เตรียมการป้องกันให้ได้ หากมีความรุนแรงเกิดขึ้นก็ต้องมีการบังคับกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากทำไม่ได้ก็ถือว่ารัฐบาลบกพร่องต่อหน้าที่อย่างมาก
นายวิทยากร เชียงกูล คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และกลุ่มผู้สนับสนุนทั้งหลายก็คงต้องดิ้นกันต่อไป เพราะมีคดีความที่ยังรออยู่อีกหลายเรื่อง แต่ก็เชื่อว่าคนในสังคม รวมถึงกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยังพอมีความคิด จิตสำนึกก็จะมีความเข้าใจในคำตัดสินของศาล และเหตุผลต่างๆ ที่ยกมาอ้างในการชุมนุมก็จะค่อยๆ หมดไปเช่นกัน เพราะต้องยอมรับว่าสิ่งที่ต่อสู้อยู่นั้น ได้ผ่านการตัดสินจากกระบวนการยุติธรรมแล้ว อย่างไรก็ตาม คงมีแต่กลุ่มเสื้อแดงหัวรุนแรงเท่านั้นที่ยังคงต่อสู้เรียกร้องเพื่อพ.ต.ท.ทักษิณอยู่ แต่กลุ่มผู้สนับสนุนส่วนหนึ่งอาจเข้าใจในเรื่องนี้มากขึ้น ทั้งนี้เชื่อว่าความรุนแรงจะไม่ขยายตัวมากนัก อาจมีเพียงแค่กลุ่มย่อยเท่านั้น
"เรื่องนี้จะทำให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาคอร์รัปชั่นมากขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคงมีคนอารมณ์ค้างกับคำตัดสิน หรือคนหัวรุนแรงสุดโต่ง ซึ่งต่อสู้เพื่อพันตำรวจโททักษิณเท่านั้น ในส่วนรัฐบาลต้องพยายามอธิบายให้ประชาชนเข้าใจอย่างหนักว่า ผลที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากกระบวนการทางกฎหมายทั้งสิ้น" คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคมฯ กล่าว
ด้าน นายคมสัน โพธิ์คง อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช(มสธ.) กล่าวว่า ความวุ่นวายจะยังมีอยู่ต่อไป ซึ่งประเด็นในเรื่องของความไม่เป็นธรรม กล่าวหาว่ากระบวนการยุติธรรมแบบ 2 มาตรฐาน ก็จะไม่จบสิ้น แต่จะมีกลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนก็จะขาดหายไปบ้าง เพราะคดีความก็ได้มีคำตัดสินอย่างเด่นชัดแล้ว และปัจจัยเรื่องเงินก็เป็นปัจจัยหลัก หากไม่มีเงินการเคลื่อนไหวก็ลำบากแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มคนเคลื่อนไหวอยู่ เพราะส่วนหนึ่งก็ไม่ได้มีจุดหมายเฉพาะเรื่องของคดีความเท่านั้น แต่เรียกร้องมากกว่านั้น ทั้งกลุ่มคนที่รักคุณทักษิณก็ยังมีอยู่มาก ทั้งนี้เหตุการณ์จะรุนแรงหรือไม่นั้นก็อยู่ที่แกนนำ
"สถานการณ์นับจากนี้ไปเหมือนฝีแตก มีอยู่ 2 ทางคือ แผลหายปกติ หรือลุกลามหนักกว่าเดิม แต่มีแนวโน้มว่าเรื่องนี้แผลจะยิ่งลุกลามมากขึ้น เพราะนักการเมืองอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลหลายต่อหลายคน ก็มีคดีพัวพันตั้งแต่สมัยอยู่รัฐบาลทักษิณ และเมื่อคำติดสินของศาลในวันนี้ออกมา เชื่อว่าบุคคลกลุ่มดังกล่าวอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลก็อาจหนาวๆ ร้อนๆ ได้ และคงสร้างความปั่นป่วนให้กับรัฐบาลได้ไม่น้อย" อาจารย์นิติศาสตร์ มสธ. กล่าว