ภาคเอกชน-นักวิชาการ ไม่ต้องการเห็นปัญหาการเมืองกลับมาร้อนแรงขึ้น
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวภายหลังศาลพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ภาคเอกชนไม่มีปัญหาใด ๆ กับการตัดสินของศาล สำหรับการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นเชื่อว่าจะไม่มีความรุนแรง เพราะทุกฝ่ายได้ประกาศว่า จะดำเนินการตามแนวทางสันติวิธี และเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย และหากสถานการณ์ดำเนินไปโดยไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ก็จะไม่ส่งผลกระทบหรือเป็นปัญหาให้ภาคธุรกิจต้องสะดุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ก็คงจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ซึ่งผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขณะนี้ได้มีการเตรียมความพร้อมเพรียงการดูแลความ ปลอดภัยสถานประกอบการ และดูแลพนักงานเท่านั้น
ส่วนนักลงทุนต่างประเทศ ที่ได้มีการติดต่อกันเป็นระยะ ๆ ส่วนใหญ่มีความเป็นห่วงเรื่องความสะดวกในการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทยเพื่อ ประชุมทางธุรกิจเท่านั้น ไม่ได้มีความวิตกอะไรเป็นพิเศษ ส่วนความมั่นใจที่จะลงทุนในประเทศไทยนั้น หากพิจารณาแล้ว สถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นเพียงระยะสั้น ในขณะที่แผนการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศเป็นแผนระยะยาวที่ได้เตรียมการเอา ไว้นานแล้วในการเข้ามาลงทุนระยะยาวในไทย ส่วนสิ่งที่กระทบความเชื่อมั่นคือ กรณีมาบตาพุดที่ขณะนี้ได้คลี่คลายลงบางส่วนแล้ว ซึ่งนักลงทุนต้องการเพียงหลักที่ชัดเจนแน่นอน เพราะพร้อมที่จะให้ปฎิบัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา 67 วรรค 2
นายพยุงศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันผลพวงจากการที่เศรษฐกิจโลกดีขึ้น การบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจของไทยที่ฟื้นตัวสอดคล้องกับ เศรษฐกิจโลก ประกอบกับราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดดี จึงเชื่อมั่นว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยปีนี้จะสูงกว่าที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม การบริโภคจะทรงตัวหลังจากช่วง 2-3 เดือนแรกปีนี้ผ่านไป เนื่องจากประชาชนใช้จ่ายเงินอย่างต่อเนื่องในช่วงเทศกาลต่าง ๆ ในระหว่างนั้น สำหรับผู้ประกอบการส่งออกสินค้าต้องระวังการอิ่มตัวของสินค้าคงคลัง เพราะผู้ซื้อเมื่อเห็นว่า ราคาสินค้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นก็จะซื้อมากจนสินค้าคงความอิ่มตัว อาจหยุดซื้อ หากมองภาพรวมแล้ว ธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ยังคงดำเนินธุรกิจไปได้ด้วยดี ในขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กจะได้รับผลกระทบ
นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล กรรมการรองเลขาธิการ หอการค้าไทย กล่าวว่า แม้ว่าผลการตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะออก มาให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กว่า 46,000 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดินในส่วนของภาคเอกชนอยากให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี แม้ว่าทางกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จะนัดชุมนุมใหญ่ในช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้ หากเป็นการประท้วงธรรมดาไม่เกิดความรุนแรงพอรับได้ แต่หากเกิดเหตุการณ์รุนแรงภาคเอกชนคงไม่เห็นด้วย เพราะจะทำให้เศรษฐกิจไทยที่กำลังฟื้นตัวได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว
"การชุมนุม นปช.ในวันที่ 12 มีนาคมนี้ รัฐบาลจะต้องควบคุมไม่ให้เกิดการรุนแรง และภาคเอกชนไม่อยากเห็นการยึดสนามบิน ทำเนียบรัฐบาล หรือสถานที่ราชการ เพราะเป็นการทำลายภาพพจน์ในการลงทุน แม้ต่างชาติจะชินกับการเมืองไทย แต่ต้องการให้คนไทยรู้ว่า จะเสียเปรียบการแข่งขันการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน หากมีการย้ายฐานการลงทุน หรือนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในไทยมองเห็นความไม่สงบในประเทศไทย ก็จะไม่เข้ามาลงทุน ซึ่งภาคเอกชนจะได้รับผลกระทบอย่างมาก จึงอยากขอเรียกร้องทุกฝ่ายยุติการเผชิญหน้ารูปแบบต่าง ๆ และขอให้ทุกอย่างจบลงโดยยึดคำตัดสินของศาล" นายพรศิลป์ กล่าว
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนไม่อยากให้เกิดความวุ่นวาย หากบ้านเมืองไม่สงบสุข โดยเฉพาะมีการประกาศจากกลุ่มเสื้อแดง แม้ผลการตัดสินของศาลจะเป็นเช่นไร ก็จะมีการนัดชุมนุมกลางเดือนมีนาคมนี้ โดยจะดึงมวลชนนับล้านคนมาขับไล่รัฐบาล ไม่ว่าจะยุบสภา ลาออก หรือใดๆ ก็ตาม โดยภาคเอกชนไม่เห็นด้วย ถือเป็นการทำลายภาพพจน์ของประเทศ และไม่ควรนำประชาชนมาเป็นเครื่องมือ เพื่อป้องกันคนเพียงไม่กี่คน น่าจะใช้วิถีทางการเมืองเจรจาต่อรอง เพื่อให้เกิดความสงบสุข ซึ่งขณะนี้เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว หากมีภาพที่ไม่ดีออกมาการลงทุนก็จะหยุดชะงัก ทำให้ประเทศไทยเกิดความล้าหลัง เพราะที่ผ่านมาไทยมีปัญหาการเมืองตลอด หากเกิดความรุนแรงภาพพจน์ของไทยหลังจากนี้ก็จะกระทบด้านการท่องเที่ยว การลงทุน ตลาดหุ้น ซึ่งภาคเอกชนไม่เห็นด้วย เพราะที่ผ่านมาทุกคนเบื่อการเมืองและอยากเห็นบ้านเมืองสงบสุข
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เชื่อว่าผลการตัดสินของศาลไม่ว่าจะเป็นบวกหรือลบ ระหว่างนี้จนถึงวันที่ 12 มีนาคมจะเกิดสุญญากาศในหลายด้าน และคงจะต้องรอดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นวันที่ 12 มีนาคมที่กลุ่มเสื้อแดงจะรวมกลุ่มนับล้านคน และประกาศจะให้เกิดการแตกหัก ยุบสภา ซึ่งถือว่าขณะนี้หลายฝ่ายจับตามอง ทำให้ประชาชนเกิดการชะลอการจับจ่ายใช้สอย ไม่ว่าการซื้อบ้าน หรืออื่นๆ เพราะต่างรอว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร หากสถานการณ์ต่างๆ ไม่เลวร้ายและนิ่ง น่าจะทำให้ประชาชนมั่นใจที่จะจับจ่ายใช้สอย แต่หากเกิดความรุนแรงคงต้องดูว่าจะต้องปรับตัวอย่างไร
นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย ในฐานะตัวแทนเกษตรกรชาวนาทั่วประเทศ กล่าวว่า อยากให้บ้านเมืองสงบสุข และอยากให้คนไทยยอมรับผลการตัดสินของศาลไม่ว่าจะออกมาอย่างไร เพราะหลายปีที่ผ่านมาประเทศเกิดความบอบช้ำหลายด้าน ในระบบการเมืองไทยไม่ใช่ไม่ดี แต่คนที่เป็นนักการเมืองมักจะนำระบบการเมืองมาเล่นและปกป้องคนๆ เดียว ถือไม่ถูกต้อง เพราะขณะนี้รัฐบาลบริหารประเทศ เพื่อให้ประเทศชาติเกิดความสงบสุข หากคนไทยยังแตกแยกสิ่งที่ตามมาประเทศชาติจะเสียหายและคนที่จะได้รับผลกระทบ ต้นๆ คือ เกษตรกรชาวนาทั้งประเทศ ดังนั้น จึงอยากให้คนไทยมองถึงประเทศชาติและประชาชน อย่ามองเพียงด้านใดด้านหนึ่ง และเล่นเกมการเมืองจนเกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติ.- สำนักข่าวไทย