"พิธา" ยินดีหาก "อุ๊งอิ๊ง" นั่งหัวหน้าเพื่อไทย ตอบปมก้าวไกลขับ "หมออ๋อง" ออกจากพรรค
"พิธา" ยินดี หาก "อุ๊งอิ๊ง" นั่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยังไม่ขอให้คะแนนรัฐบาลเศรษฐา 1 พร้อมยืนยันขับ "ปดิพัทธ์" ออกจากก้าวไกล ไม่ได้กั๊ก รวบ 2 ตำแหน่งในสภาฯ ลั่นไม่ใช่นิติกรรมอำพราง แต่ตรงไปตรงมา หลัง "ศรีสุวรรณ" จ่อร้อง ป.ป.ช. สอบ
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อไทยอาจเสนอชื่อ นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ว่า เป็นเรื่องที่ดี จะได้มีการแข่งขันทางการเมืองมากขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ทำให้การเมืองมีประสิทธิภาพ
ส่วนตัววันนี้มาประชุมสมาชิกพรรคที่เขตวัฒนา รวมถึงเมื่อวานก็ได้ไปรับสมัครสมาขิกพรรคที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีเป้าหมายให้สมาชิกมีส่วนร่วมทางการเมืองมากที่สุด เป็นพรรคของมวลชนให้ได้มากที่สุด ตั้งเป้าปลายปีมีสมาชิก 100,000 คน
ทั้งนี้ หากนางสาวแพทองธารเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ของเพื่อไทย พรรคก้าวไกลเองก็มีนายชัยธวัช ตุลาธน เป็นหัวหน้าคนใหม่ หวังว่าจะมีการแข่งกันในการนำเสนอนโยบาย การบริหารพรรคที่ยึดโยงกับมวลชน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประชาธิปไตย
พร้อมกันนี้ นายพิธา ยังกล่าวถึงการทำงานของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีคนใหม่หลังได้ทำงานมาประมาณหนึ่งเดือนว่า ยอมรับว่า ไม่ได้ติดตามการทำงานของนายกรัฐมนตรีมากนัก ซึ่งพรรคก้าวไกลมีวาระ 100 วันแรกในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เอสเอ็มอี และสุราก้าวหน้า รวมถึงประชามติในการแก้รัฐธรรมนูญ เชื่อว่าจะเป็นทางออกของปัญหาประเทศไทย จะได้ไม่ต้องแก้ไขกฎหมายงบประมาณมาก และขอให้นายกรัฐมนตรีโฟกัสเรื่องควิกวินของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาโครงสร้าง รวมถึงเรื่องการลดราคาค่าไฟฟ้า
ขณะที่นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ก็มีประชาชนทวงถามความชัดเจนมาระหว่างการลงพื้นที่ ทั้งนี้ ยังไม่ขอให้คะแนนรัฐบาล เพียงแต่ฝาก สส.ในสภาอภิปราย การจัดทำงบประมาณซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ พร้อมฝากให้ประชาชนติดตามเรื่องนี้ด้วย
นายพิธา ยังกล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือ ทั้งเชียงใหม่ แพร่ ลำปางว่าได้ประสาน ส.ส.ในพื้นที่ของพรรคก้าวไกล ให้ดูแลประชาชน เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมปีนี้ค่อนข้างแรง และห่วงว่าสถานการณ์น้ำท่วมเชียงใหม่อาจกระทบถึงพื้นที่ตัวเมือง
ส่วนกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน เตรียมยื่นป.ป.ช. ตรวจสอบกรณีพรรคก้าวไกลมีมติขับนาย ปดิพัทธ์ สันติภาดา ออกจากพรรคเพื่อต้องการรักษาตำแหน่ง รองประธานสภาคนที่ 1 ซึ่งอาจเข้าข่ายฉ้อฉลหรือนิติกรรมอำพรางหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เรื่องนี้ส่วนตัวยังไม่ได้พูดคุยกับนายปดิพัทธ์ แต่คิดว่าไม่น่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจอะไร ซึ่งความจำเป็นก็เป็นไปตามที่พรรคก้าวไกลได้มีแถลงการณ์ออกไปแล้ว เพราะพวกเราต้องการทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ และต้องการที่จะมีผู้นำฝ่ายค้าน
แต่ขณะเดียวกันนายปดิพัทธ์ก็มีความต้องการที่จะทำรัฐสภาให้โปร่งใส และเมื่อเป็นอย่างนั้นก็คงต้องแยกกันเดินในช่วงนี้ เพื่อให้ต่างคนต่างบรรลุเป้าหมายให้ได้ แต่ในที่สุดก็คือการคิดถึงการทำงานของรัฐสภา รวมถึง สส.ของพรรคการเมืองเป็นหลัก
สำหรับกรณีดังกล่าวมีการใช้คำว่า”นิติกรรมอำพราง” ฉะนั้นข้อกล่าวหาดังกล่าวถือว่ารุนแรงไปหรือไม่ ทั้งที่ผ่านมาบางพรรคก็ได้ทำเช่นกัน นายพิธา กล่าวว่า เรื่องนี้ตอนคิดว่า เป็นสิทธิ์ที่จะวิจารณ์อะไรก็ได้ ก็น้อมรับไว้ แต่ขณะเดียวกันยืนยันตรงไปตรงมา พร้อมทั้งมีการอธิบายเป็นขั้นเป็นตอนไปแล้ว ว่าพรรคก้าวไกลต้องการที่จะเป็นฝ่ายค้าน ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญก็ไม่อนุญาตให้มีรองประธานอยู่ในพรรคที่มีผู้นำฝ่ายค้าน
ส่วนนายปดิพัทธ์ก็ตัดสินใจอยากจะทำภารกิจ เรื่องรัฐสภาให้มีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพต่อ ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นที่พรรคก้าวไกลต้องขับนายปดิพัทธ์ออก และนายปดิพัทธ์ก็ต้องหาพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งมันก็ตรงไปตรงมาแค่นี้ไม่ได้มีอะไรอำพรางแม้แต่เล็กน้อย
ทั้งนี้ หากมีหน่วยงานเรียกไปชี้แจงทางพรรคก็พร้อมหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า “แน่นอน” และทางพรรคก็ได้ชี้แจงไปแล้ว และเท่าที่ทราบนายปดิพัทธ์ก็ได้แถลงข่าวที่รัฐสภาไปแล้ว ตนคิดว่าก็ชัดเจนทั้งสองฝ่าย
ขณะที่บางพรรคการเมืองวิจารณ์ว่าพรรคก้าวไกลกำลังถอยหลังลงคลอง เนื่องจากบอกว่าจะเล่นการเมืองใหม่แต่กลับไปเล่นการเมืองแบบเก่า นายพิธา กล่าวว่า ตนคิดว่ามันไม่ได้เป็นการเมืองเก่าหรือใหม่ แต่ว่าตั้งใจเดินหน้าตามเป้าหมายตามที่รัฐธรรมนูญบังคับไว้ ว่าเป็นไปในลักษณะแบบไหน เราต้องการเป็นฝ่ายค้านเชิงรุกอย่างที่เคยพูดไว้ ส่วนนายปดิพัทธ์ก็มีความต้องการอยากจะเป็นรองประธานสภาที่ต้องการทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในรัฐสภา และให้มีประชาชนส่วนร่วมมากขึ้น
ขณะเดียวกัน นายปดิพัทธ์ได้แจ้งหรือไม่ว่ามีความประสงค์จะย้ายไปอยู่พรรคการเมืองไหนต่อ หรืออาจจะเป็นพรรคสำรองของพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายพิธา ระบุว่า ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันในเรื่อง
สำหรับการทำแบบนี้ไม่ใช่เป็นการกั๊กทั้งตำแหน่งรองประธานสภาคนที่ 1 และตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านไว้ใช่หรือไม่ นายพิธา ยืนยันไม่ใช่เป็นการกั๊ก เพราะถ้าเป็นการกั๊กก็ต้องเป็นในลักษณะที่ว่า ทำให้มันพร้อมกัน แต่เรื่องนี้เป็นเหตุผลของพรรคก้าวไกลและส่วนตัวของนายปดิพัทธ์ ซึ่งแยกออกจากกัน พร้อมย้ำว่า เรื่องขับออกจากพรรคไม่ใช่วิธีการที่ง่ายเกินไป เพราะเป็นไปตามกระบวนการ เมื่อพรรคตัดสินใจเช่นนี้ จึงไม่สามารถให้นายปดิพัทธ์ตัดสินใจเป็นอย่างอื่นได้ แต่เมื่อนายปดิพัทธ์ตัดสินใจเป็นอย่างอื่นก็ต้องออก ขอย้ำว่าเป็นกระบวนการที่ตรงไปตรงมาเท่านั้น
ส่วนในอนาคตหากนายปดิพัทธ์มีความประสงค์จะกลับพรรคก้าวไกลก็พร้อมที่จะรับหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ยังไม่เคยคิดถึงตรงนั้น แต่ตอนนี้ขอทำหน้าที่ฝ่ายค้านให้เต็มที่ และส่วนตัวก็ยังคงหยุดปฏิบัติหน้าที่อยู่ จึงต้องทำหน้าที่นอกสภาอย่างเต็มที่