"นาตาลี ปณาลี" ปรับจูนรัก "มาสุ" ทิ้งความเป็นดารา มุ่งขายการแสดงพิสูจน์ฝีมือ

"นาตาลี ปณาลี" ปรับจูนรัก "มาสุ" ทิ้งความเป็นดารา มุ่งขายการแสดงพิสูจน์ฝีมือ

"นาตาลี ปณาลี" ปรับจูนรัก "มาสุ" ทิ้งความเป็นดารา มุ่งขายการแสดงพิสูจน์ฝีมือ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผันตัวมาเป็นนักแสดงอิสระแล้ว สำหรับนางเอกสาว นาตาลี-ปณาลี วรุณวงศ์ ขอสลัดลุคคุณหนูพิสูจน์ฝีมือการแสดงในละคร เลือดกากี ทั้งยังเป็นการร่วมงานกับสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 เป็นครั้งแรกด้วย เมื่อ sanook.com มีโอกาสเจอ นาตาลี จึงได้พูดคุยถึงเป้าหมายการเป็นนักแสดง รวมถึงมุมมองเรื่องความรัก หลังคบหาดูใจกับพระเอกหนุ่ม มาสุ จรรยางค์ดีกุล มานานถึง 5 ปี แม้จะดูเป็นคู่รักที่เรียบง่าย แต่เส้นทางรักก็มีความตะกุกตะกักผ่านการปรับจูน ขออีกฝ่ายทิ้งความเป็นดาราเพื่อให้รักนี้ลงตัว

เลือดกากี ละครพีเรียดเรื่องแรก ?

“เป็นเรื่องแรกเลยที่ได้มีโอกาสมาร่วมงานกับทางช่อง 8 และก็พี่เอ๊ะ (อิศริยา สายสนั่น) และเป็นเรื่องแรกที่ได้มีโอกาสเล่นเป็นพีเรียด เราชอบมากเลย เพราะเราไม่เคยมีโอกาสได้เล่นพีเรียดมาก่อนเลย พอมาแต่งพีเรียดจริงๆ ก็รู้สึกพอไปได้นะ”

“ละครดี บทก็สนุก พออ่านแล้วเราก็รู้สึกว่า ในฐานะของผู้เล่นก็รู้สึกว่า แบบนี้เป็นการท้าทายตัวเองในการแสดง และก็คิดว่าผู้ชมน่าจะชอบละครเรื่องนี้ เป็นละครที่มีครบทุกรสเลย มีเรื่องความรัก ความผูกพันของพ่อแม่ ความผูกพันของการแย่งผู้ชายคนโน่นมาคนนี่มา การอยากเป็นที่หนึ่ง การไม่อยากเป็นรอง เป็นการเชือดเฉียนกันด้านของอารมณ์ ของความรู้สึกของตัวละครที่มีปมของตัวเองต่างๆ ซึ่งแต่ละคนก็มีปมไม่เหมือนกัน”

คาแร็กเตอร์ แน่งน้อย เป็นอย่างไร ?

“เป็นผู้หญิงที่สู้คน เป็นผู้หญิงที่ไม่ยอมคน ไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าตัวเองจะเกิดมาต่ำต้อยแค่ไหน ก็รู้สึกว่าคนเราควรจะมีโอกาสเท่าๆ กัน ก็เป็นแนวคิดผู้หญิงในยุคสมัยใหม่ ซึ่งแตกต่างจากผู้หญิงในยุคสมัยนั้น ต้องเชื่อฟังผู้ชาย ต้องสงบเสงี่ยมไม่เถียง แน่งน้อยจะเป็นทุกอย่างที่ตรงกันข้ามเลย”

“สำหรับแน่งน้อยท้าทายมาก เพราะว่าเราต้องเล่นยังไงให้ชีวิตยัง โอ้โห เชื่อฟังแม่มาก รักแม่สุดๆ แต่ว่าอีกใจก็ต้องเป็นมีเลือดของความเป็นนักสู้ ของความไม่ยอม และยืนหยัดในความเป็นตัวตนของตัวเองความถูกต้อง”

จากนางเอกละครลุคคุณหนูดูแพง เรื่องนี้ได้พลิกคาแร็กเตอร์ตื่นเต้นขนาดไหน ?

“จริงๆ ตื่นเต้นมากเพราะว่าปกติละครที่เล่น จะเป็นละคแนวถ้าไม่อยู่ป่าอยู่เขา ก็เป็นละครในเมืองเล่นเป็นเจ้าหญิงบ้าง แต่อันนี้มันเหมือนเล่นเป็นคนจนมากๆ ครั้งแรก แล้วก็พยายามสู้ชีวิต อยู่กับแม่ รักแม่ แต่ก็ต้องสู้กับคนที่มาเอาเปรียบเรา รู้สึกว่ามันแตกต่างจากทุกอย่างมากๆ ที่เคยเล่นมา”

มองเป้าหมายในการเป็นนักแสดง หลักจากออกมาเป็นนักแสดงฟรีแลนซ์แล้ว ?

“ยอมรับความจริงว่าลีไม่ได้มองอะไรเลย ลีแค่รู้สึกว่าการที่ลีมาทำงานด้านการแสดง ลีมาขายการแสดง เพราะฉะนั้นลีอาจจะดูไม่ได้คาดหวัง หรือดูไม่ได้ใฝ่ฝันเป็นรูปธรรมว่า ฉันจะต้องไปถึงดวงดาว จริงๆ อันนี้มันเป็นงานอดิเรกที่เรารัก แล้วเราก็รู้สึกชอบที่จะเล่น แต่เราไม่ได้ใส่แรงกดดันว่าฉันต้องไปอยู่ตรงโน้นไปอยู่ตรงนี้ เพราะนี่เป็นแค่สิ่งที่เราชอบ และเราขายการแสดง ถ้ามีคนชอบงานของเรา จ้างเราไปเล่น แค่นี้เราก็แฮปปี้แล้วค่ะ”

งานแสดงคืองานอดิเรก แล้วงานประจำของนาตาลีคืออะไร ?

“คือลีมีธุรกิจหลายๆ อย่างที่ทำ ของที่บ้านเอยอะไรเลย แต่ว่าอันนี้มันเป็นงานส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับที่บ้านเลย แล้วเราชอบของเราเอง เราก็ขอมาทำตรงนี้เองโดยที่ไม่เกี่ยวกับที่บ้านเลย มันเป็นงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของเราจริงๆ 100% ค่ะ ก็เลยรู้สึกว่าทัศนคติของเราที่มีต่องาน ก็คือเราขายการแสดง เราขายงาน เราขายฝีมือ เราเก่งกว่าใครหรือเปล่าอันนี้ไม่รู้ แต่ถ้าใครชอบงานของเราแล้วจ้างไปเล่นก็คือดีใจแล้ว พอเราเริ่มโตขึ้นมีสิ่งที่เราต้องการมากขึ้น เช่น เราชอบเล่นละครแนวชีวิตนะ เราก็ได้ค้นหาตัวเองด้วยว่าเราชอบแนวนี้”

สำหรับเราการเป็นนักแสดงมีสังกัด กับ นักแสดงอิสระ รู้สึกถึงความแตกต่างอย่างไร ?

“สมัยที่มีสังกัดทุกอย่างก็ดีมากๆ ก็มีงานมาโดยตลอดเป็นครอบครัวที่น่ารักมาก แต่ว่าพอเวลาผ่านไปเราก็รู้สึกว่า เราเริ่มโตขึ้น เราเริ่มมีภาพที่ชัดเจนมากขึ้น เฮ้ย เราชอบแนวนี้ มันเหมือนการออกมาโตอีกขั้นนึง ถ้าเราอยู่คอมฟอร์ทโซนเราต่อไปเราจะได้เล่นละครประมาณนี้ แนวนี้ แต่เล่นไปเรื่อยๆนะ แต่เราแค่รู้สึกว่าพอถึงเวลาเราก็อยากจะออกมา เพื่อมาลองดูในสิ่งที่เราชอบ เราชอบแนวนี้ เราอ่านบทแนวนี้แล้วถูกใจ เราอยากเป็นผู้ที่จะลงไปเล่นในบทนั้น ก็รู้สึกว่าเป็นแนวทางใหม่ๆ ให้เราได้ลอง”

ทำไมตัดสินใจเป็นฟรีแลนซ์ดีกว่า ?

“ด้วยเวลาค่ะ คือลีอยู่วงการนี้มานานมากๆ แล้วก็ได้เล่นละครมาก็หลายเรื่องเนอะ แต่ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาก็รู้สึกว่าละครเป็นแนวเดิมๆ บางทีอาจจะได้เลือกบทบ้าง หรือบางทีมีผู้ใหญ่มอบบทมาให้ พอเวลาผ่านไปเราออกมาเป็นฟรีแลนซ์เราก็มีโอกาสได้ดูบทของตัวเอง รับผิดชอบชีวิตตัวเอง เราเหมือนก้าวไปอีกระดับนึงค่ะ เราเป็นตัวของตัวเองได้มากขึ้น ถ้าเรื่องไหนลีรับแล้วลีจะค่อนข้างซีเรียสกับมันมาก เช่น ไปกองต้องไปตรงเวลาเลย ทำงานคือจะเป๊ะทุกอย่าง คือจะอ่านบทให้เสร็จ เป็นคนค่อนข้างจริงจังถ้ารับงานแล้ว”

หลังจากออกมาเป็นฟรีแลนซ์แล้ว วางแพลนเรื่องงานแสดงไว้อย่างไร ?

“อันนี้คือลีมันก็ยากมากเลยนะ เพราะอย่างที่รู้การเป็นฟรีแลนซ์มันไม่ได้ง่าย แล้วคนเป็นฟรีแลนซ์ก็เยอะมากๆ ลีก็พูดตรงๆ เลยว่าแบบลีก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปทิศทางไหน แต่ลีก็คาดหวังว่า ถ้ามีคนที่เป็นผู้จัดฯ หรืออาจจะเป็นช่องที่เห็นผลงานเราแล้วรู้สึกว่า การแสดงเรามันไปได้ เราก็คงได้ทำงานกันต่อเรื่อยๆ มันมีอยู่แล้วคนที่หน้าตาดีกว่าเรา คนที่หุ่นเป๊ะกว่าเรา คนที่เห็นหน้าแล้วปังเลย แต่อย่างที่ลีพูดกับทุกคนตลอดเลยที่มาถาม คือลีขายการแสดง ถ้าคุณคิดว่าการแสดงเรามันไปได้ มันใช่ แล้วคุณต้องการงานที่พร้อมเล่น ทำให้กองไม่เสียเวลา คนที่ทำการบ้านมาพร้อมและตรงต่อเวลา นั่นคือเรา ต่างคนก็ต่างชอบไม่เหมือนกัน เราจริงจังเลยว่าขายการแสดงก่อนอย่างอื่นนะ”

มองว่าตัวเองต้นทุนชื่อเสียงน้อยกว่าคนอื่น ?

“น้อยกว่าอยู่แล้วค่ะ คืออันนี้พูดกันตรงๆ ไม่อ้อมค้อมก็คือลีอยู่วงการมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักขนาดนั้น เราก็รู้สึกว่าต้นทุนตรงนี้ก็อาจจะสู้บางคนที่เป็นฟรีแลนซ์ไม่ได้ อย่างที่สองความทะเยอทะยานของคนไม่เท่ากัน เราอาจจะทำงานด้วยแพชชั่น แต่คนอื่นเขาอาจจะสู้ตายเพื่อจะมาอยู่ตรงนี้ ซึ่งอันนี้เราก็นับถือเขา แต่ของเรามันจะประมาณนี้ เราขายการแสดงนะ เราขายงาน เราขายความตรงต่อเวลา เราขายการไม่เป็นตัวถ่วงกองละคร เราขายการส่งอารมณ์ร้องไห้ ดีใจ เสียใจ เราขายตรงนี้ ลียอมรับมีหลายจุดที่สู้คนอื่นไม่ได้ แต่ถ้าตรงนี้ลีมั่นใจว่าสู้ได้”

เป็นนักแสดงเน้นขายฝีมือไม่ขายกระแส ?

“หนูไม่เคยขายกระแสเลย เพราะจริงๆ แล้วยอมรับเลยชีวิตหนูรักสงบ ซึ่งไม่เหมาะกับวงการถ้าพูดกันตรงๆ คนโน้นก็พยายามจะทำข่าว คนนี้ก็อยากเป็นข่าว คนนี้ก็พยายามสร้างข่าว แต่เราเหมือนหลุดจาดวงโคจรนั้นไปเลย ไม่ว่าเราจะทำอะไรหรือไปไหน เราก็ไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจ มันก็เลยเหมือนขาดความทะเยอทะยานตรงนั้นไป ทำให้เราไม่ค่อยเล่นข่าว ตัวหนูเองไม่มีความเป็นดารา หนูมีแฟนใช่มั้ย เขากับหนูแตกต่างกันมาก เขาคือดารา ไม่ว่าเขาจะเดินออกไปไหนเขาจะมีการดูแลตัวเองบางอย่าง ถ้าไปข้างนอกแล้วคนเห็นจะขอถ่ายรูปกับเขาแล้วดูดี ส่วนเราก็คือใส่ชุดอยู่บ้านไปข้างนอก ก็มานั่งดูตัวเอง เราขาดความเป็นดารา เราอาจจะเป็นแค่นักแสดง ยังไปไม่ถึงชั้นเราคือดารา ที่จะมีคนมารุมล้อมแบบนั้น”

เป้าหมายยังอยากเป็นแค่นักแสดง ไม่คิดเป็นดารามีกระแสโด่งดังเหมือนคนอื่น ?

“เป้าหมายไม่เคยเปลี่ยนค่ะ คือชอบเล่นละครก็เล่นละครอยู่อย่างนั้น ส่วนเป้าหมายในการเป็นซุปตาร์หรือดารา อาจจะไม่ได้มีอยู่ในหัวว่าฉันจะต้องดังระเบิดนะ ฉันจะต้องออกอีเวนต์ เพราะจริงๆ แล้วเราขายการแสดง เข้าใจนะคนมาเป็นนักแสดงก็หวังไปไกลกว่านั้นด้วย หวังจะเป็นดาราใหญ่โตคนรู้จักทั่วบ้านทั่วเมือง ซึ่งอันนั้นหนูรู้สึกว่ามันเป็นของแถม ถ้าคุณมีโชคด้วย แต่สำหรับคนไม่ได้มีโชคและไม่ได้กระตือรือร้นขนาดนั้น เราก็อาจจะเหมาะกับการเป็นนักแสดง”

แฟนเราอย่าง มาสุ อยู่ด้วยก็สัมผัสความเป็นดาราของเขาได้ ?

“เรารู้สึกเลยว่าเขาคือดารา มีความดาร๊าดาราจริงๆ เลยนะ บางทีเขาก็ถามเราเหมือนกันว่า น้องลีพี่ว่าน้องลีสภาพนี้จริงเหรอ เราก็แบบฉันผิดอะไรป่าวเนี่ย แต่ลีเข้าใจว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นดารา แต่เรายังมีความรักความเป็นส่วนตัว และก็รักความสบายๆ ไม่ต้องแต่งหน้า ซึ่งเวลาคนมาพบเจอก็อาจจะรู้สึกว่า โอ้โห สภาพ คือเราไม่มีความพยามจะมีแสงเท่าไหร่ ก็คุยกับเขาเราสองคนไม่เหมือนกันเลยนะเนี่ย”

มีผลกับความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่มั้ย ?

“ลีว่าช่วงแรกๆ มีผล เพราะตอนที่รู้จักกันใหม่ๆ เราก็สบายๆ คิดว่าเราเหมือนคนปกติ เราก็ไปเดินเล่นกินข้าว ส่วนมาสุก็ระแวงอย่างดียวใครมาเห็นเขาหรือเปล่า ช่วงนั้นยังไม่เปิดตัว หันซ้ายหันขวาเลย เหมือนดาราต้องระแวดระวัง แต่อตอนนี้ไม่ได้เป็นแล้วค่ะ เราไม่ได้บอกให้เขาเปลี่ยนอะไรนะ เราก็บอกว่าเราเป็นคนประมาณนี้นะ เราเป็นคนสบายๆ อย่าคาดหวังว่าเราจะสวยเช้งเป็นลอนบาร์บี้ออกมาจากบ้านทุกวัน มันจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน เราเป็นคนอยู่ในโลกความเป็นจริงมากเลยนะ เราอยากจะเดินไปกับเธอแล้วไปกินข้าวที่นี่ นั่งกินไอติมด้วยกัน แล้วเดินไปโน่นไปนี่ ถ้าเธอจะมาทำตัวเป็นนักร้องเกาหลีอาจจะไม่เหมาะกัน ก็คุยกับเขาตั้งแต่แรกๆ”

เราเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรจากเขาบ้าง ?

“เขาก็ปรับตัวเยอะมาก หมายถึงเขาคงไม่ได้ตั้งใจจะปรับ แต่ว่าอยู่กับเราเยอะๆ มันก็เป็นไปเอง หลังๆ ก็ไม่ต้องอะไรกับคนละ เจอขอถ่ายรูปก็ไม่เป็นไร ลีก็ไม่รู้นะเขาเกร็งคนมองอะไร พอหลังๆ มานี้ก็ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทุกอย่าง ไม่มีหันซ้ายหันขวาแล้ว”

เป็นอย่างไรบ้างกับความรักครั้งนี้ ศึกษาดูใจกันมากี่ปีแล้ว ?

“5 ปีค่ะ ช่วงแรกๆ มันก็ตะกุกตะกัก แต่ว่าพอเวลาผ่านไปทุกอย่างก็เริ่มลงตัวมากขึ้น เริ่มมีเป้าหมายของแต่ละคนมากขึ้น เราก็มาคุยกันว่าเป้าหมายตรงกันหรือเปล่า มีการคุยกันเรื่อยๆ สถานการณ์ตอนนี้เราเป็นอย่างนี้นะ เรามาเป็นฟรีแลนซ์แล้วนะ ไม่ขึ้นช่องแล้วนะ เธอโอเคมั้ย พอเขาโอเค ฉันไปอย่างนี้นะ ฉันไปอย่างนั้นนะ ก็มีการบอกถึงสถานภาพทางจิตใจ และทางชีวิตจริงให้เขาฟัง”

เป้าหมายของเราทั้งคู่วางไว้อย่างไรบ้าง ?

“จริงๆ ลีไม่ได้ตั้งเป้าอะไรขนาดนั้นไว้ ว่าฉันอายุเท่านี้ต้องเป็นอย่างนี้นะ อายุเท่านั้นต้องทำอย่างนั้น เพราะว่าลีรู้สึกไม่ได้รีบ แต่ก็คุยกันไว้อย่างน้อยเป้าหมายเราต้องตรงกันก่อน เพราะสมมติระหว่างทางที่เราเดินไป ถ้าอยู่ดีๆ เธอไม่ได้คิดอย่างนั้น ฉันก็ไม่ได้คิดอย่างนั้น มันก็ไปตายเอาปลายทาง เราก็คุยกันก่อนว่า สรุปแล้วตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่เวลา แต่ว่าอนาคตเราคิดเหมือนกันหรือเปล่า ถ้าเราคิดเหมือนกันวันนี้ก็ยังไปต่อกันได้ จากที่คุยๆ ตอนนี้ก็ยังไปทางเดียวกันอยู่ค่ะ แต่อนาคตก็ต้องดูนะว่าทำได้จริงมั้ย หรือเป็นอย่างที่เราคิดได้หรือเปล่า”

คิดว่าอะไรทำให้คู่เราตัดสินใจเปิดตัวไปเลยไม่ต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ ?

“จริงๆ มันเป็นไอเดียของหนูเอง ไม่ใช่ไอเดียของเขา เพราะว่าถ้าเราไม่สามารถอยู่ในที่ที่มีแสงด้วยกันได้ เราก็อยู่ในที่ที่มีความมืดด้วยกันไม่ได้เหมือนกัน ฉะนั้นถ้าอยากให้ฉันอยู่ในความมืดกับคุณ คุณก็ต้องให้ฉันอยู่ในแสงกับคุณด้วย คนเราถ้าจะอยู่ด้วยกันคุณต้องมีเราทั้งในยามมืดและยามสว่าง ทั้งในยามสุขและยามทุกข์ดิ เราก็บอกว่าถ้าเราจะอยู่กันต่อ เราต้องไม่อยู่แค่ในที่มืด เราต้องอยู่ที่สว่างด้วยถึงถูกต้อง”

พอเปิดตัวแล้วกลายเป็นคู่รักไม่หวือหวา ?

“ใช่ ไม่หวือหวาเลย ลีก็ไม่รู้ว่ามันดีหรือมันไม่ดีนะ มันเหมือนคบกันไปเรื่อยๆ ค่ะ ไม่ต้องมีดราม่า ไม่ต้องงอแง ซึ่งลีรู้สึกสบายใจกว่าเก่าอีก เพราะแต่ก่อนโมเมนต์มองซ้ายมองขวา มันก็เครียดนะ คนที่ทำมันไม่เครียด แต่คนที่เห็นว่าอีกคนนึงทำมันก็ครียดนะ ในใจลึกๆ มองซ้ายมองขวาอะไรวะ แต่พอมันผ่านกำแพงตรงนั้นไปแล้ว มันไม่มีโมเมนต์มองซ้ายมองขวาแล้ว แล้วไปเดินห้างได้อย่างมีความสุข มันมีความสุขนะ ได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติสักที ทั้งๆ ที่ควรจะปกติมาตั้งแต่แรก”

ตอนนี้ความรักลงตัวสุดๆ ?

“ใช่ จริงๆ ดีใจมากเลย เพราะเป็นคนไม่ชอบการทะเลาะกับคนเลย เราก็เลยไม่ทะเลาะกับใคร เราไม่มีดราม่า เราไม่มีอารมณ์โมโหหรือด่าทอไม่มีเลย มันเหมือนใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ในทางที่มันดีขึ้น ส่วนเรื่องแบ่งเวลาทำงานก็ส่วนทำงาน ถ้าทำงานก็จะไม่ยุ่งเลย แต่ถ้ามีเวลาว่างตรงกันเราก็จะมาเจอกันบ้าง กินข้าวกันบ้าง แล้วเราก็เลี้ยงหมาเขาก็สนิทกับหมาเรามาก เลี้ยงกันมาตั้งแต่เกิด เขาจะมาเล่นกับหมาเรา ชีวิตเรียบๆ ง่ายๆ ค่ะ”

อัลบั้มภาพ 25 ภาพ

อัลบั้มภาพ 25 ภาพ ของ "นาตาลี ปณาลี" ปรับจูนรัก "มาสุ" ทิ้งความเป็นดารา มุ่งขายการแสดงพิสูจน์ฝีมือ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook