ประวัติ บรู๊ค ดนุพร อดีตพระเอกดังช่อง 7 ผันตัวสู่เส้นทางการเมือง รวยเฉียด 600 ล้าน
ประวัติ บรู๊ค ดนุพร อดีตพระเอกดังช่อง 7 ผันตัวสู่เส้นทางการเมืองคนละขั้วกับพี่ชายแท้ๆ เปิดทรัพย์สินรวยเฉียด 600 ล้าน
นายดนุพร ปุณณกันต์ มีชื่อเล่นว่า บรู๊ค เกิดเมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2514 ปัจจุบันอายุ 52 ปี ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นบุตรของ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เหลือพร และนางดาริกา ปุณณกันต์ เป็นหลานชายของ พลเอกพงษ์ ปุณณกันต์ อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง นอกจากนี้นายดนุพรยังเป็นน้องชายของ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคพลังประชารัฐ
นายดนุพร จบการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น จากโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จบมัธยมศึกษาตอนปลาย จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จบปริญญาตรี และปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์สาขาการปกครอง จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง จบปริญญาตรีใบที่ 2 จากมหาวิทยาลัยแอนติออก เมืองซีแอตเติล และจบปริญญาโทใบที่ 2 สาขาเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยซีแอตเติล
นายดนุพร เป็นที่รู้จักในสังคม จากการเป็นนักแสดงในสังกัดสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ตั้งแต่ปี 2541 - 2548 ละครเรื่องแรก ลูกตาลลอยแก้ว ปี พ.ศ. 2541 แล้วเรื่องสุดท้ายทางช่อง 7 คือเรื่อง พยัคฆ์ร้ายหัวใจจิ๋ว ปี พ.ศ. 2548 ก่อนมุ่งทางการเมืองอย่างเต็มตัว
นายดนุพรได้เข้าพิธีสมรสกับ นางสาวสุวนันท์ คงยิ่ง หรือ กบ นางเอกชื่อดัง เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2552 หลังจากที่คบหาดูใจกันมานานกว่า 10 ปี ตั้งแต่เริ่มเล่นละครเรื่องแรก และปัจจุบันมีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ ณดา-ปุณณดา ปุณณกันต์ และ ณดล-ปุญณดล ปุณณกันต์ อายุ 9 ขวบ
เส้นทางการเมือง
นายดนุพร เริ่มงานการเมืองด้วยการเข้าสังกัดพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นการทำงานการเมืองคนละขั้วกับพี่ชาย บี-พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ แต่ก็ยังได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นตำแหน่งแรกในทางการเมือง
ต่อมาได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2548 ในเขตสาธรและยานนาวา กรุงเทพมหานคร แต่ไม่ได้รับเลือก โดยแพ้ให้กับ กรณ์ จาติกวณิช ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ต่อมาในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2548 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
การเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ซึ่งพรรคร่วมฝ่ายค้าน (พรรคประชาธิปัตย์, พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน) ได้ประกาศบอยคอตไม่ลงเลือกตั้ง โดยนายดนุพรได้รับเลือกด้วยคะแนนมากกว่าร้อยละ 20 แต่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ และกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2549 แต่ต้องยกเลิกไปเนื่องจากเกิดการรัฐประหาร
ภายหลังจากการยุบพรรคไทยรักไทย นายดนุพร ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งใน เขต 7 กรุงเทพมหานคร (บางกะปิ, สะพานสูง, มีนบุรี และลาดกระบัง) ในนามพรรคพลังประชาชน และได้รับเลือกเป็นอันดับที่ 1 ของเขตเลือกตั้ง นอกจากนี้นายดนุพรยังได้ดำรงตำแหน่งโฆษกคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎรอีกด้วย
ต่อมาเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ยุบพรรคพลังประชาชน ร่วมกับพรรคมัชฌิมาธิปไตย และพรรคชาติไทย และตัดสิทธิ์ทางการเมืองของคณะกรรมการบริหารพรรคคนละ 5 ปี รวม 109 คน (พรรคพลังประชาชน 37 คน,พรรคมัชฌิมาธิปไตย 29 คน และพรรคชาติไทย 43 คน) นายดนุพร จึงย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อไทย และยังได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่โฆษกคณะทำงานเตรียมการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านอีกด้วย
และในการเลือกตั้งปี 2554 นี้ นายดนุพร ได้ย้ายมาลงสมัครในแบบบัญชีรายชื่อ อันดับที่ 62 ของพรรคเพื่อไทย โดยไม่ได้รับเลือก แต่เนื่องจากนายบัณฑูร สุภัควณิช ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เนื่องจากไปเป็นข้าราชการการเมือง เลยส่งผลให้นายดนุพร ได้รับการเลื่อนขึ้นเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคเพื่อไทย
ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 เขาได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 87 และในการเลือกตั้ง พ.ศ.2566 นายดนุพรสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อสังกัดพรรคเดิม ในลำดับที่ 25 และได้รับการเลือกตั้ง นอกจากนี้ นายดนุพร ยังได้รับมอบหมายเป็นประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานครของพรรคอีกด้วย
บัญชีทรัพย์สินของ บรู๊ค ดนุพร-กบ สุวนันท์
วันนี้ (6 ต.ค. 66) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เมื่อวันที่ 4 ก.ค.66 พร้อมคู่สมรส น.ส.สุวนันท์ คงยิ่ง และลูกสาว-ลูกชายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะอีก 2 คน โดยมีทรัพย์สินรวม 593,384,630.50 บาท และหนี้สิน 2,381,848.71 บาท
โดยนายดนุพร มีทรัพย์สิน 307,646,311.46 บาท และหนี้สิน 2,310,848.71 บาท ประกอบด้วย
- ที่ดินในจังหวัดปทุมธานี นครราชสีมา สระบุรี และกรุงเทพฯ จำนวน 9 แปลง มูลค่ารวม 429,957,075 บาท
- เงินฝากในธนาคาร 13 บัญชี วงเงินรวม 38,662,038.11 บาท
- โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง มูลค่า 13,000,000 บาท
- ยานพาหนะ เป็นรถยนต์ 3 คัน มูลค่ารวม 12,400,000 บาท
- ทรัพย์สินอื่น เช่น พระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง 48 รายการ นาฬิกาข้อมือ 13 เรือน สร้อยคอทองคำ ป้ายทะเบียนรถยนต์ โค 12 ตัว มูลค่ารวม 8,973,000 บาท
- เงินลงทุน 3,001,173.35 บาท
- สิทธิและสัมปทานเป็นสมาชิกสนามกอล์ฟ 1,000,000 บาท
- เงินสด 653,025.50 บาท
คู่สมรสมีทรัพย์สิน 68,381,131.01 บาท หนี้สิน 70,854.69 บาท ประกอบด้วย
- เงินลงทุน 28,626,728.06 บาท
- ทรัพย์สินอื่น เช่น นาฬิกาข้อมือ 10 เรือน กระเป๋าถือ 37 ใบ เครื่องประดับ ทองคำแท่ง ป้ายทะเบียนรถยนต์ มูลค่ารวม 14,682,800 บาท
- โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 13,000,000 บาท
- ที่ดินในจังหวัดปทุมธานี จำนวน 2 แปลง มูลค่ารวม 5,950,000 บาท
- ยานพาหนะ 1 คัน มูลค่า 2,650,000 บาท
- เงินฝากในธนาคาร 12 บัญชี วงเงินรวม 2,049,608 บาท
- สิทธิและสัมปทานเป็นกรมธรรม์ประกันชีวิต 3 ฉบับ มูลค่ารวม 1,222,000 บาท
- เงินสด 200,000 บาท
ลูกสาว-ลูกชายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมีทรัพย์สิน 17,357,182.03 บาท ประกอบด้วย
- เงินฝากในธนาคาร 6 บัญชี วงเงินรวม 16,831,625.03 บาท
- สิทธิและสัมปทาน เป็นกรมธรรม์ประกันชีวิต 3 ฉบับ มูลค่ารวม 525,557 บาท
อัลบั้มภาพ 9 ภาพ