สาวรอดชีวิตจากอิสราเอล เจอผู้ก่อการร้ายใจดีปล่อยให้หนี เอาเลือดศพทาตัว แกล้งตาย
เรื่องเล่าบีบหัวใจ สาวผู้รอดชีวิตจากเทศกาลดนตรีอิสราเอล เจอผู้ก่อการร้ายใจดีปล่อยให้วิ่งหนี ต้องเอาเลือดจากศพทาตัว แกล้งตาย 3 ชั่วโมง
หญิงสาววัย 30 ผู้ใช้บัญชีอินสตาแกรมว่า may_hayat โพสต์เป็นภาษาฮีบรู เล่าประสบการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิต หลังเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ก่อการร้ายในเทศกาลดนตรีอิสราเอล เธอรอดชีวิตมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่น่าเศร้าที่เธอสูญเสียแฟนสาวไปจากเหตุการณ์ในครั้งนี้
งานดนตรีจบลงอย่างสนุกสนาน ก่อนเริ่มต้นหายนะในเช้าวันใหม่
เธอและแฟนสาวเข้าร่วมงานเทศกาลดนตรีซูเปอร์โนวา โดยทำงานในบาร์น้ำทั้งคืนจนถึงเช้าวันที่ 7 ต.ค.66 บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน หลังจากดูพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม จิบกาแฟยามเช้า จากนั้นฝันร้ายก็เริ่มต้นขึ้น มีจรวดบินอยู่เหนือหัวของพวกเธอ
ระหว่างที่รอเหตุการณ์สงบและตั้งใจกลับบ้าน เพื่อนโทร.มาเตือนว่า คนที่ขับรถกลับบ้านหลังงานจบกำลังถูกยิง เธอจึงวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากตำรวจให้ส่งกำลังไปช่วยเพื่อนของเธอ แต่ก็พบว่าผู้ก่อการร้ายได้มาถึงในจุดที่ตัวเองอยู่แล้ว จากนั้นความวุ่นวายก็เริ่มขึ้น ตำรวจให้พวกเธอไปซ่อนตัวในป้อมตำรวจ ทุกคนนั่งกับพื้น บางคนร้องไห้ บางคนตะโกน บางคนมีอาการวิตก และบางคนเงียบสนิท เธอกอดทุกคนที่ร้องไห้ ส่วนแฟนสาวของเธอช่วยเหลือคนเจ็บที่อยู่ด้วยกัน
หนีไปกับผู้ชายคนหนึ่ง ซ่อนตัวในหลุมทรายแต่ก็ไม่พ้น
เสียงปืนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตำรวจที่ยืนถืออาวุธอยู่หน้าประตูมองหน้ากันด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะตะโกนสั่งให้เธอวิ่ง โดยที่ตำรวจขวางพวกก่อการร้ายเอาไว้แล้วพวกเขาก็ถูกยิงตายทีละคน เธอวิ่งหนีมากับคนอื่นๆ ก่อนจะหันมาพบว่าแฟนของเธอไม่ได้ตามมาด้วย
จากนั้นเธอก็วิ่งให้เร็วที่สุด ซ่อนตัวอยู่หลังรถพยาบาล กระสุนสาดมาจากทุกทิศทาง ซ้ายขวาหน้าหลัง มีผู้ชายตะโกนเรียกให้ไปอีกทางบอกว่าปลอดภัยกว่า เธอจึงวิ่งไปหาเขา แต่ไม่มีคนอื่นไปกับเธอ ทำให้ต้องวิ่งหนีไปด้วยกัน แล้วมาเจอรถผู้ร่วมงานที่กำลังหนีเหมือนกัน ทันทีที่รถออก ผู้ก่อการร้ายยิงใส่รถไม่ว่าจะขับหนีไปทางไหนก็ไม่พ้น ในที่สุดล้อรถก็ติดหล่มทราย เมื่อลงจากรถพบว่าคนขับหายไปแล้ว แต่เธอเจอหลุมคล้ายที่หลบภัย ซึ่งเข้าไปหลบ นาทีนั้นทำได้เพียงจับมือกันแล้วอธิษฐาน ก่อนจะแกล้งตายด้วยการเอาทรายมาถมตัว แล้วนอนเงียบๆ อยู่ราว 1 ชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้
1 ใน 8 ผู้ก่อการร้าย เป็นคนใจดี และช่วยให้เธอรอดชีวิต
ผู้ก่อการร้าย 8 คน มาพบตัวเธอและเพื่อนร่วมชะตากรรม เธอหลับตาลงเพราะคิดว่าโดนยิงแน่ๆ แต่กลุ่มผู้ก่อการร้ายกลับมาหิ้วเธอขึ้น รื้อค้นโทรศัพท์และทรัพย์สินของพวกเธอไป และแจ้งทางวิทยุสื่อสารว่าเจอตัวประกันอีก 2 คน ผู้ก่อการร้ายคนหนึ่งเริ่มพูดคุยกับเธอ แต่เธอบอกว่าไม่เข้าใจ เธอพยายามมีสติ นิ่งเฉย ไม่ตะโกนหรือแสดงความรู้สึกใดๆ ผู้ก่อการร้ายคนนั้นเอาแจ็คเก็ตมาคลุมให้เธอ ในขณะที่ผู้ก่อการร้ายคนอื่นๆ มองเธอเหมือนชิ้นเนื้อชิ้นหนึ่ง เพราะเธอสวมเพียงเสื้อกล้าม จากนั้นเขาก็จับมือเธอไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง อีกมือถืออาวุธสงคราม
จากนั้น กลุ่มผู้ก่อการร้าย พยายามค้นหาเครื่องดื่มและบุหรี่ เธอให้ความร่วมมือและไม่แสดงท่าทีต่อต้าน ในขณะที่ชายซึ่งหนีมาพร้อมเธอร้องไห้ไม่หยุดและพยายามร้องขอชีวิต เธอบอกให้เขาหยุดร้องเพราะมันจะทำให้ผู้ก่อการร้ายรำคาญ ตอนแรกเขาก็ฟัง แต่ครู่เดียวเขาก็คุกเข่าแล้วกรีดร้องขอชีวิตอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ร้องไม่ได้อีกต่อไป เพราะผู้ก่อการร้ายยิ่งเขาตายต่อหน้าต่อตาเธอ ทิ้งให้เธอต้องอยู่เพียงลำพัง
เธอถูกตีหัวและใช้มีดข่มขู่คุกคามตลอดเวลา ผู้ก่อการร้ายคนที่ให้เสื้อเธอตอนแรกจับเธอมาไว้ด้านหลังและตะโกนห้ามเพื่อนของเขา ก่อนจะพาเดินไปอีกที่หนึ่ง เธอยังคงยืนอยู่กับผู้ก่อการร้ายที่ปกป้องเธอ เขาบอกเธอว่า "ไปได้" ตอนนั้นเธอสับสนไม่รู้จะทำยังไง แต่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจวิ่ง เมื่อหันกลับไปมองและเห็นว่าไม่มีอาวุธชี้มาที่ตัวเอง เธอเลยวิ่งต่อไปอย่างบ้าคลั่ง
ซ่อนตัวท่ามกลางศพ เอาเลือดทาตัวและแกล้งตาย
เธอวิ่งกลับไปที่งานดนตรี ซ่อนตัวอยู่ใต้เวทีปาร์ตี้และนอนลงข้างคนตาย 3 ศพ ทาตัวเองด้วยเลือดที่ไหลจากศพข้างกายและแกล้งทำเป็นตายเป็นเวลา 3 ชั่วโมง ซึ่งเป็น 3 ชั่วโมงที่รู้สึกเหมือนชั่วนิรันดร์ 3 ชั่วโมงที่ผู้ก่อการร้ายเดินผ่าน ยิงไปทุกที่ และเผาทุกอย่างที่ขวางหน้า ในขณะที่จรวดลอยอยู่เหนือหัว เธอนอนอยู่ท่ามกลางศพเป็นเวลา 3 ชั่วโมง โดยยังคิดไม่ออกว่าชีวิตจะเป็นยังไงต่อไป ทันใดนั้นก็เริ่มได้ยินคนพูดเป็นภาษาฮีบรูซึ่งเป็นภาษาที่ชาวอิสราเอลใช้ จึงตะโกนเสียงดังว่า “ช่วยด้วย” โชคดีที่คนเหล่านี้เป็นทหารของกองทัพ พวกเขามาพาเธอไปที่รถหน่วยกู้ภัย พร้อมด้วยผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ แต่น่าเศร้าที่แฟนสาวของเธอไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้น