เอะใจ ได้ยินลูกละเมอ "แม่ช่วยด้วย" สืบจนรู้โดนทำร้าย ไม่ใช่ที่โรงเรียน แต่ในบ้านตัวเอง!
สาวจริงจังกับงาน ไว้ใจให้คนอื่นเลี้ยงลูกแทน สุดท้ายใจสลาย ต้องทนฟังลูกนอนผวาแทบทุกคืน ละเมอเรียกให้ช่วยเหลือ
คุณหว่อง (นามสมมุติ) ออกมาเล่าเรื่องราวเตือนภัยผู้ปกครอง โดยบอกว่าทั้งครอบครัวของเธอและสามีมีฐานะที่ดี เธอเป็นคนที่รักและทุ่มเทให้กับงานมาก เมื่อลูกอายุได้ 3 ขวบเธอจึงเริ่มกลับไปทำงาน แต่ในขณะเดียวกันก็กังวลว่าแม่สามีที่อยู่ในวัยชราไม่มีเรี่ยวแรงดูแลหลานชายได้ ดังนั้นเธอจึงจ้างพี่เลี้ยงเด็กมาดูแลลูกชายในช่วงเย็น ตั้งแต่ตอนกลับมาจากโรงเรียน ทานมื้อเย็น และส่งเข้านอน
วันหนึ่ง เธอกลับมาจากที่ทำงานค่อนข้างดึก ลูกชายของเธอจึงหลับสนิทไปแล้ว อย่างไรก็ดี เมื่อเธอกำลังจะเข้านอน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงลูกชายตะโกนว่า “แม่ ช่วยฉันด้วย” เธอรีบไปที่ห้องนอนของลูกชายทันที และพบว่าเขากำลังฝันร้าย จึงรีบเข้าปลอบและกล่อมให้นอนอีกครั้ง
วันรุ่งขึ้นแม้ว่าเธอจะไปทำงานตามปกติ แต่ก็ยังคิดทบทวนเรื่องเมื่อคืนที่เกิดขึ้น เพราะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงโทรหาเพื่อนสนิทที่เป็นนักจิตวิทยาเพื่อขอคำแนะนำ หลังจากนั้นก็ตัดสินใจเติดตั้งกล้องวงจรปิดที่บ้านอย่างเงียบๆ ตามคำแนะนำของเพื่อน ในขณะเดียวกันก็หมั่นเช็กภาพาจากกล้องวงจรปิดในห้องเรียนอนุบาลของลูกด้วย
แต่เพราะช่วงนี้ลูกชายละเมอขอความช่วยเหลือจากแม่แทบทุกคืน ทำให้เธอรู้สึกปวดใจและร้อนรนอย่างมาก สุดท้ายจึงถามครูที่โรงเรียนอนุบาลของลูกตรงๆ ว่ามีการใช้ความรุนแรง หรือรังแกกันบ้างหรือไม่ แต่ครูก็ปฏิเสธอย่างหนักแน่น โดยบอกว่าเด็กในโรงเรียนอนุบาลประพฤติตนดีมาก ดังนั้นแน่ใจว่าไม่มีปัญหาดังกล่าวแน่นอน
เหลือเพียงเคสเดียวคือพี่เลี้ยงเด็กที่บ้าน แม้ว่าเธอจะเชื่อใจคนที่อาชีพนี้มาหลายปีเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความเป็นไปได้ในข้อนี้ จึงใช้เวลาตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่บ้านในช่วงหลายวันที่ผ่านมา และสิ่งที่ปรากฏในคลิปก็ทำให้เธอน้ำตาไหล ทุกเย็นเมื่อลูกชายของเธอกลับมาจากโรงเรียน พี่เลี้ยงเด็กจะเตรียมอาหารเย็นให้ทาน อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่เด็กก่อปัญหา พี่เลี้ยงเด็กก็จะอารมณ์เสีย ทุบตี และถึงกับโยนเด็กลงไปกับพื้น อีกทั้งยังขู่ด้วยว่าห้ามบอกแม่
เมื่อเห็นถึงต้นเหตุเธอจึงตัดสินใจจัดการอย่างเด็ดขาดทันที ทั้งนี้ สถานการณ์เด็กถูกพี่เลี้ยงและแม่บ้านทารุณกรรมและทุบตี ความเจ็บปวดไม่เพียงแต่ทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบถึงจิตใจของเด็กด้วย อย่างไรก็ดี ในกรณีเช่นนี้มักมีการข่มขู่ให้หวาดกลัวไม่กล้าบอกพ่อแม่ ดังนั้นผู้ปกครองต้องหมั่นสังเกตพฤติกรรมแปลกๆ ของลูกที่ส่งสัญญาณว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในอันตราย