ฟอร์บส์ยก เจริญ-วิกรม-ธนินท์ คนรวยใจบุญ
ฟอร์บส์เลือก 4 มหาเศรษฐีไทย ธนินท์-วิกรม-เจริญ-วิลเลียม ติดกลุ่ม 48 คนรวยใจบุญแห่งภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก
นิตยสารฟอร์บส์ ฉบับลงวันที่ 15 มีนาคมนี้ จัดอันดับ 48 มหาเศรษฐีใจบุญ จาก 12 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก โดยเลือกมาประเทศละ 4 คน ซึ่งในส่วนของไทยนั้น มหาเศรษฐีที่ติดอันดับคือ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ และประธานกรรมการบริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพีกรุ๊ป) นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการบริหารบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด และทีซีซี กรุ๊ป นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการบริษัทอมตะโฮลดิ้ง และนายวิลเลียม ไฮเน็คกี้ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทไมเนอร์
ฟอร์บส์ชี้ว่า ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา นายธนินท์ วัย 71 ปี บริจาคเงินมากกว่าปีละ 5 แสนดอลลาร์ หรือกว่า 16 ล้านบาทให้แก่การกุศลหลากหลายประเภท ทั้งในด้านการศึกษา สวัสดิภาพเด็ก และทำนุบำรุงศาสนา โดยตระกูลเจียรวนนท์ มีการก่อตั้งมูลนิธิพุทธรักษา เพื่อให้ความช่วยเหลือเด็กกำพร้า และเด็กยากไร้ ทั้งยังจัดทำโครงการที่ช่วยให้โรงเรียนต่างๆ สามารถพึ่งพาตัวเองได้ มีการเปิดฟาร์มไก่ 4 แห่ง เพื่อผลิตไข่ไก่สำหรับให้เด็กๆ นักเรียนได้บริโภค และนำส่วนที่เหลือไปขาย นำเงินมาเป็นทุนสนับสนุนโครงการของโรงเรียน
ส่วนนายไฮเน็คกี้นั้น ฟอร์บส์ระบุว่า มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทด้านโรงแรม และร้านอาหารวัย 60 ปีผู้นี้ จัดตั้งกองทุนรอย อี.ไฮเน็คกี้ ขึ้นมาโดยใช้ชื่อตามชื่อของบิดาตัวเอง เพื่อช่วยเหลือค่าเล่าเรียนเด็กนักเรียนปีละหลายร้อยคน ทั้งยังใช้โอกาสในวันคล้ายวันเกิดของตัวเอง ให้พนักงานในเครือ 2 หมื่นคน หยุดงานเพื่อทำงานสาธารณประโยชน์ ทั้งทาสีโรงเรียน และซ่อมแซมสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
ขณะที่นายวิกรม วัย 57 ปี ได้รับการยกย่องจากการให้คำมั่นถึงการทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินที่มีอยู่ให้แก่มูลนิธิอมตะ ที่เขาก่อตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริมด้านการศึกษา ศิลปะ วัฒนธรรม และสภาพแวดล้อม ทั้งยังอุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้แก่การกุศล รวมถึงการบริจาคที่ดินประมาณ 1,000 ไร่ให้แก่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อก่อสร้างศูนย์การเรียนรู้ และวิจัยด้านวิทยาศาสตร์
ส่วนนายเจริญนั้น ฟอร์บส์อธิบายว่า มหาเศรษฐีวัย 64 ปี ผู้นี้ ร่วมมือกับคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ภรรยา สนับสนุนด้านการศึกษา และทำนุบำรุงศาสนา นอกเหนือจากการดำเนินความพยายามที่จะผลักดันให้ช้างได้กลับคืนสู่ป่า และตั้งกองทุนเพื่อรักษาผู้ป่วยยากไร้ ทั้งยังร่วมมือกับรัฐบาล และผู้ใจบุญรายอื่นๆ ร่วมจัดหาเงินทุน 30 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1,000 ล้านบาท ก่อสร้างศูนย์วิจัยโรคไต และศูนย์ศึกษาทางการแพทย์
