รวบ เคทอง เจ้าตัวปฏิเสธลั่นทุกข้อหา

รวบ เคทอง เจ้าตัวปฏิเสธลั่นทุกข้อหา

รวบ เคทอง เจ้าตัวปฏิเสธลั่นทุกข้อหา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เสธ.แดง ดอดพบตำรวจกองปราบทำทีสอบถามจะนำ"เคทอง"เข้ามอบตัว หลังพล่ามเสร็จจะขึ้นรถกลับ ตำรวจขอค้นพบ"เคทอง"นั่งในรถจึงถูกรวบทันที เจ้าตัวให้การปฎิเสธ อ้างเป็นคลิปตัดต่อ

(6มี.ค.) พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ศานิตย์ มหถาวร รองผู้บังคับการกองปราบปราม (รอง ผบก.ป.) เพื่อสอบถามขั้นตอนการดำเนินคดี และการประกันตัวให้นายพรวัฒน์ ทองธนบูรณ์ หรือ เคทอง ลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.ขัตติยะ หลังตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ 2 คดี คือ คดีทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวิธีอื่นใดเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร และขู่เข็ญให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจ และคดีนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์

ทั้งนี้หลังเข้าพบพนักงานสอบสวน พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อถามว่าจะพานายพรวัฒน์มามอบตัวได้อย่างไร แต่ยังไม่ชัดเจนเพราะพนักงานสอบสวนแจ้งว่าสำนวนยังส่งมาไม่ถึงกองปราบจึงยังไม่ทราบว่าจะพานายพรวัฒน์มามอบตัวได้เมื่อใด แต่ยืนยันว่านายพรวัฒน์ยังอยู่ในประเทศไม่ได้หลบหนีไปไหน

พล.ต.ขัตติยะ กล่าวถึงนายพรวัฒน์ว่าที่เรียกกันว่าอาจารย์เพราะเป็นอาจารย์ดูหมอและจัดรายการผ่านแคมฟอกซ์ ส่วนเหตุปาระเบิดธนาคารกรุงเทพที่เกิดขึ้นนั้นนายพรวัฒน์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด แต่ที่มีการพูดผ่านวิดีโอคลิปเกี่ยวกับเหตุระเบิดนั้นเชื่อว่าเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า

ส่วนคดีของตนเรื่องอาวุธปืนและอาวุธสงครามที่ตรวจค้นพบในบ้านพักซึ่งกองปราบดำเนินคดีนั้นทราบจากพนักงานสอบสวนว่าจะมีการสรุปสำนวนส่งฟ้องอัยการในวันที่ 8 มี.ค.นี้ โดยตนจะต้องเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนเพื่อเดินทางพร้อมสำนวนไปรายงานตัวต่ออัยการ ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นคดีของตนแล้วอาจจะพานายพรวัฒน์มามอบตัวอีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังให้สัมภาษณ์เสร็จ พล.ต.ขัตติยะ พร้อมลูกน้องจะเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อเตรียมเดินทางไปขึ้นเวทีปราศรัยที่ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี โดยทั้งหมดเตรียมขึ้นรถตู้โตโยต้า สีขาว ทะเบียนตรากงจักร 2481 กระจกหน้ารถซ้ายติดป้ายผ่าน เข้าออก ม.พัน 4 รอ. พ.ศ.2541-2542 แต่ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบ นำโดย พ.ต.อ.สานิตย์ พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ พ.ต.ท.อดินันท์ ชัยนันท์ รอง ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.ธีรพัฒน์ ธารีไทย พ.ต.ต.จารุวัฒน์ พาหุมันโต สว.กก.1 บก.ป. พ.ต.ต.ต่อศักดิ์ พิทักษ์โกศล สว.กก.ปพ.บก.ป. พร้อมชุดสืบสวน กก.1 บก.ป. และหน่วยคอมมานโดจำนวนหนึ่ง ได้เข้าไปหาพล.ต.ขัตติยะอีกครั้ง หลังจากได้รับแจ้งจากสายข่าวว่า นายพรวัฒน์ ผู้ต้องหาตามหมายจับนั้นซ่อนตัวอยู่ในรถของพล.ต.ขัตติยะ โดย พ.ต.อ.สานิตย์ กล่าวกับ พล.ต.ขัตติยะว่าขออนุญาตตรวจค้นภายในรถ แต่ พล.ต.ขัตติยะ บอกว่า ไม่มีอะไร ก่อนจะพากันเดินไปยังรถตู้

จากนั้นกำลังตำรวจก็ตรงเข้าไปเปิดประตูข้างรถตู้คันดังกล่าวก็พบชายสองคนนั่งอยู่ที่เบาะหลังสุดของรถ คนหนึ่งนั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไร ส่วนอีกคนกำลังถือหนังสือพิมพ์ยกขึ้นปิดบังใบหน้า ทำทีเป็นนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ เจ้าหน้าที่จึงเรียกทั้งสองให้ลงจากรถก็พบว่า ชายคนที่ถือหนังสือพิมพ์บังหน้าอยู่นั้นคือ นายพรวัฒน์ จึงแสดงตัวเข้าจับกุมทันที โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า พล.ต.ขัตติยะ ซึ่งอยู่ร่วมตรวจสอบรถถึงหน้าถอดสีเมื่อตำรวจพบนายพรวัฒน์นั่งอยู่ในรถ ผิดไปจากช่วงก่อนหน้านี้ที่ยังพูดจาหยอกล้อกับสื่อมวลชนอย่างสนุกสนาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังพบนายพรวัฒน์ พ.ต.อ.สานิตย์ สั่งให้ชุดสืบสวน กก.1 บก.ป. และกำลังคอมมานโด นำนายพรวัฒน์ขึ้นไปยังห้องประชุมชั้นสอง อาคารสำนักงานผู้บังคับบัญชาทันที โดยมีพล.ต.ขัตติยะ เดินประกบอยู่ไม่ห่าง ทั้งนี้นายพรวัฒน์ กล่าวว่า เป็นนักจัดการรายการโหราศาสตร์คู่การเมืองกับการทหาร เป็นรายการวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองผ่านทางแคมฟอกซ์ ช่วงเวลา 22.00-เที่ยงคืน และ 01.00 -03.00 น. ซึ่งจัดมาได้ 3 ปีกว่าแล้ว โดยตนจะนำดวงเมืองมาช่วยวิเคราะห์ และจำลองภาพว่าจะเกิดอะไรขึ้นในทุกๆ 2 วัน

นายพรวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นตนยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนที่มีคลิปวิดีโอเผยแพร่ออกไปโดยเฉพาะที่เว็บไซต์ยูทูปนั้นก็มีคนทำขึ้นซึ่งจะตัดหรือหยิบช่วงใดของรายการไปก็ได้ ซึ่งคนที่ทำก็ตัดเอาช่วงท้ายๆของรายการแค่ประมาณ 2 นาทีไปลง สังเกตได้ว่าเป็นช่วงที่ตนใกล้จะหลับแล้วเพราะง่วงมาก ไม่ไหว หลังจากนั้นก็ฟุบหลับไปกับโต๊ะเลย ทั้งที่รายการจริงๆจัดนาน 2-3 ชั่วโมงจึงอยากถามว่าเหตุใดจึงไม่นำรายการทั้งหมดไปลง ส่วนสิ่งที่ตนพูดในรายการนั้นก็เป็นการวิเคราะห์จากโหราศาสตร์ว่าแต่ละวันเกิดอะไร ซึ่งตนสามารถนำเครื่องคอมพิวเตอร์มากดดูได้เลยซึ่งจากการตรวจสอบช่วงนั้นก็หนีไม่พ้นที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่แล้วตนจึงวิเคราะห์ไปตามหลักโหราศาสตร์

จากนั้น พ.ต.อ.สานิตย์ พร้อมพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหากับนายพรวัฒน์ตามหมายจับทั้งสองคดี โดยเบื้องต้นนายพรวัฒน์ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการสอบสวนนายพรวัฒน์พ.ต.อ.ศานิตย์ สั่งให้นำคอมมานโดอาวุธครบมือมารักษาความปลอดภัยโดยรอบสถานที่สอบสวน รวมทั้งสั่งการให้ชุดสืบสวน กก.1 บก.ป. นำโดย พ.ต.ท.อดินันท์ ตรวจค้นรถตู้และค้นตัวลูกน้อง พล.ต.ขัตติยะทุกคนอีกครั้ง

ในการตรวจค้นตัวลูกน้อง พล.ต.ขัตติยะนั้นมีอยู่คนหนึ่งซึ่งเป็นคนขับรถอ้างตัวชื่อ นายพล อดีตทหารนาวิกโยธิน ไม่ยินยอมที่จะเปิดรถตู้ให้ตรวจสอบโดยอ้างว่าตำรวจไม่มีสิทธิ์ และต้องขออนุญาตจาก เสธ.แดงก่อน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็พยายามเจรจาเกลี่ยกล่อมจนนายพลยอมให้ตรวจค้นแต่โดยดี ซึ่งจากการตรวจค้นเจ้าหน้าที่พบอาวุธปืนพกสั้นในรถตู้ทั้งหมด 4 กระบอก ประกอบด้วย ปืนพกสั้นยี่ห้อบาเร็ตต้า ขนาด 9 มม. 1 กระบอก ปืนสั้นยี่ห้อคาร์ ขนาด 9 มม. 1 กระบอก ปืนสั้นยี่ห้อกล็อค ขนาด 9 มม. 1 กระบอก ปืนสั้นยี่ห้อซีแซด ขนาด 6.35 มม. 1 กระบอก ส่วนที่ตัวลูกน้อง พล.ต.ขัตติยะคนหนึ่งพบว่าพกปืนสั้นยี่ห้อกล็อค ขนาด 9 มม. พร้อมกระสุนจึงยึดมาตรวจสอบทั้งหมด

นอกจากนี้ยังมี กระสุนปืนขนาด 9 มม. 48 นัด ขนาด 6.35 จำนวน 8 นัด มีดพก 1 เล่ม กระเป๋าหนังสีดำ 1ใบ คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค 1 เครื่อง และกล้องดิจิตอล อีก 1 ตัว

ต่อมา พ.ต.อ.ศานิตย์ ได้นำ พล.ต.ขัตติยะ มาตรวจสอบอาวุธปืนของกลางที่ค้นพบในรถและที่ตัวลูกน้องทำให้ พล.ต.ขัตติยะมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด แต่ พล.ต.ขัตติยะก็แจ้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าอาวุธปืนทั้งหมดนั้นมีทะเบียนถูกต้อง ทางตำรวจจึงขอให้นำเอกสารมาแสดงเพื่อเป็นการยืนยัน

พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า อาวุธปืนของตนนั้นมีเพียง 2 กระบอก ซึ่งทั้งหมดมีทะเบียนถูกต้องตามกฏหมาย ส่วนใบอนุญาตพกไม่ต้องใช้เพราะเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ส่วนอาวุธปืนที่เหลือและคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คนั้นเป็นของนายพรวัฒน์ ซึ่งก็มีทะเบียนทั้งหมดเช่นกัน ทั้งนี้สาเหตุที่ต้องพกอาวุธปืนติดตัวไว้ก็เพื่อป้องกันตัวเพราะมีคนจ้องเล่นงานตนอยู่

ด้าน พ.ต.อ.ศานิตย์ เปิดเผยว่า พล.ต.ขัตติยะ เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อสอบถามคดีตัวเองและนายพรวัฒน์ แต่ขณะที่ พล.ต.ขัตติยะกำลังจะกลับก็มีสายลับแจ้งว่านายพรวัฒน์อาจหลบอยู่ในรถตู้ของ พล.ต.ขัตติยะจึงขอตรวจค้น ซึ่งช่วงแรก พล.ต.ขัตติยะ บอกว่าไม่มี แต่ตรวจสอบก็พบนายพรวัฒน์หลบอยู่ที่เบาะหลัง ลักษณะใช้หนังสือพิมพ์บังตัวเองอยู่ ทั้งนี้นายพรวัฒน์มีหมายจับติดตัว 2 หมาย ในความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.อาวุธปืน และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จึงทำการจับกุมได้ทันที

พ.ต.อ.ศานิตย์ กล่าวว่า สำหรับการพิจารณาว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่นั้นจะพิจารณาโดยยึดหลักกฎหมาย แต่ขณะนี้ยังไม่มีการขอยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวแต่อย่างใด ซึ่งพนักงานสอบสวน บก.ปอท. โดยเฉพาะ ผบก.ปอท. ได้เดินทางมาสอบสวนคดีนี้ด้วยตนเอง ส่วนการตรวจสอบพบอาวุธปืน 5 กระบอก เบื้องต้นพบว่าเป็นของพล.ต.ขัตติยะ 2 กระบอก มีทะเบียนถูกต้อง เป็นของนายพรวัฒน์ 1 กระบอก มีใบอนุญาตแต่ผิดมือ ส่วนอีก 1 กระบอกเป็นของลูกน้อง ซึ่งมีใบอนุญาตเช่นกัน แต่ไม่มีใบอนุญาตพกพา อย่างไรก็ตามได้ให้ พล.ต.ขัตติยะ และนายพรวัฒน์นำในอนุญาตครอบครองมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ส่วนใบอนุญาตพกพาในส่วนพล.ต.ขัตติยะนั้นไม่น่ามีปัญหาเพราะเป็นนายทหารสามารถพกพาได้ ส่วนนายพรวัฒน์นั้นพนักงานสอบสวนจะแจ้งข้อหาพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารระโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกคดีหนึ่ง

ผู้สื่อข่าวรายงาน ระหว่างสอบสวนเรื่องอาวุธปืนอยู่นั้น พล.ต.ขัตติยะได้ขอพ.ต.อ.ศานิตย์เพื่อไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินดอนเมืองไปปราศรัยที่ จ.อุบลราชธานี ซึ่งตำรวจไม่อนุญาต แต่ พล.ต.ขัตติยะกับลูกน้องที่เป็นคนขับรถก็เดินตรงไปรถตู้ พร้อมกับเปิดประตูจะขึ้นรถ แต่ พ.ต.ต.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง สว.กก.ปพ.บก.ป. พร้อมตำรวจคอมมานโดอาวุธครบมือ 5 นาย เข้าห้ามปรามไว้ พร้อมขอความร่วมมือให้กลับขึ้นไปยังห้องสอบสวนเพื่อความเรียบร้อยซึ่ง พล.ต.ขัตติยะกับลูกน้องก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook