เมียอึ้ง มีหญิงอุ้มเด็กมาบอกว่าเป็นลูกของผัว จับตรวจ DNA ผลไม่พลิก แต่คดีนี้มีเงื่อนงำ

เมียอึ้ง มีหญิงอุ้มเด็กมาบอกว่าเป็นลูกของผัว จับตรวจ DNA ผลไม่พลิก แต่คดีนี้มีเงื่อนงำ

เมียอึ้ง มีหญิงอุ้มเด็กมาบอกว่าเป็นลูกของผัว จับตรวจ DNA ผลไม่พลิก แต่คดีนี้มีเงื่อนงำ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หญิงแปลกหน้าอุ้มลูกมาที่บ้าน บอกว่าเป็นลูกของผัว เมียจับตรวจ DNA ผลยืนยันเป็นพ่อลูกกัน โชคดีใจเย็นสืบจนรู้ความจริง

เว็บไซต์ phunuphapluat รายงานเรื่องราวสุดพลิกผันของครอบครัวของนายจ่อง วัย 42 ปี ชาวฮานอย ประเทศเวียดนาม ซึ่งเข้ารับการตรวจ DNA โชคดีที่ภรรยาของอชายคนนี้ใจเย็นพอจะสืบเรื่องราวจนทราบความจริง

"การทดสอบนี้ทำให้ฉันกังวลใจในทุกรายละเอียด โชคดีที่ตอนจบมีความสุขเกินจินตนาการของฉัน" เหงียนถิงา ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบดีเอ็นเอและเทคโนโลยี พันธุศาสตร์ฮานอย กล่าว

เหตุการณ์ดังกล่าวเิดขึ้นเมื่อ นางเยน ภรรยานายจ่อง ได้นำตัวอย่างมาทดสอบก่อน นางเยน เล่าว่า ก่อนหน้านั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งมาที่บ้านพร้อมอุ้มเด็กอายุประมาณ 2 ขวบ บอกว่าเป็นลูกของนายจ่องซึ่งทำให้เธอประหลาดใจมาก ตอนนั้นนายตรงไม่อยู่บ้าน นางเยนมองดูเด็กแล้วรู้สึกผิด เพราะหน้าเด็กดูคล้ายกับสามีมาก

เมื่อนางเยนยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้หญิงคนนี้ดึงผมของทารกออกมาต่อหน้าเธฮ “ไม่เชื่อก็ไปตรวจ DNA สิ จะได้ชัดเจน ” หลังจากพูดจบ หญิงสาวก็ทิ้งตัวอย่างผมไว้และพาลูกออกไป

นางเยนคิดตลอดทั้งวัน จากนั้นในตอนเย็นจึงตัดสินใจดึงผมของสามี 3 เส้น เพื่อนำไปตรวจ DNA ซึ่งผลก็ปรากฏว่าสามีและเด็กคนนี้มีความสัมพันธ์แบบพ่อลูก

เมื่อรับผลตรวจ สีหน้าของนางเยนก็เข้มขึ้น แม้จะไม่อยากจะเชื่อแต่ผลปรากฏว่าสามีมีลูกเป็นของตัวเอง เมื่อทราบข่าวนายจ่องก็แปลกใจเช่นกัน เขาเสนอให้ไปที่ศูนย์ทดสอบ DNA อีกครั้ง

นายจ่องเชื่อว่ามีข้อผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้น เพราะตัวเขาเองไม่มีความสัมพันธ์นอกสมรสกับใครเลย แม้แต่ภรรยาของเขาก็ยังไว้วางใจสามีของเธอในเรื่องนี้ แต่เมื่อตรวจอีกครั้งผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม 

ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้าและหารือกันถึงสถานการณ์ที่เป็นไปได้ในที่สุด “แล้วครอบครัวของคุณมีกี่คน? คุณมีพี่ชายหรือน้องสาวฝาแฝดหรือไม่?" นางงาถาม จากนั้นนายจ่องจึงนึกขึ้นได้ว่าเขามีน้องชายฝาแฝด แต่น้องชายอาศัยอยู่ในจังหวัดที่ห่างไกลจากฮานอย เนื่องจากพ่อแม่หย่าร้าง เขาอาศัยอยู่กับแม่มาตั้งแต่เด็ก ส่วนน้องชายอาศัยอยู่กับพ่อจึงไม่ค่อยได้เจอหรือพูดคุยกัน

นางงา อธิบายว่า ถ้าพี่น้อง 2 คนเป็นฝาแฝดเหมือนกัน โอกาสที่ยีนจะเหมือนกันมีสูงมาก เป็นไปได้ว่าเด็กอีกคนหนึ่งเป็นลูกของน้องชายนายจ่อง แต่เนื่องจากรูปแบบทางพันธุกรรมเดียวกัน การทดสอบกับนายจ่องจึงยังคงแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ทางสายเลือดเดียวกัน ดังนั้นหากเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของนายจ่องก็จะเป็นลูกของน้องชายของเขา

หลังจากนั้น นายจ่องและภรรยาก็เดินทางไปที่บ้านเกิดของบิดาและพบน้องชายของตนเพื่อค้นหาความจริง ซึ่ง นายดิ น้องชายของนายจ่อง ยอมรับว่าเด็กคนนั้นเป็นของเขา นายดีได้ทำการทดสอบ DNA ด้วย และผลออกมายืนยันว่าเป็นลูกทางสายเลือดของเขา แต่เขาไม่ยอมรับ เพราะไม่อยากแต่งงานกับหญิงอื่น

เนื่องจากการทรยศ ผู้หญิงคนนี้จึงพาเด็กไปที่บ้านของนายจ่อง ซึ่งเป็นลุงแท้ ๆ ของเด็ก ด้วยความหวังว่าครอบครัวจะยอมรับเด็กคนนั้น เพราะใบหน้าของเขาดูเหมือนนายจ่องทุกประการ เมื่อทราบความจริง นายจ่องและภรรยา แม้จะเสียใจ แต่ก็ไม่ได้ตรวจ DNA อีก และตัดสินใจรับเด็กไว้เพราะเป็นสายเลือดของคนในครอบครัว

"พอติดต่อเขาอีกครั้งก็รู้ว่าครอบครัวนายจ่องรับเลี้ยงเด็กแล้ว ฉันก็แอบดีใจ ในสังคมปัจจุบันมีคนไม่มากที่มีความอดทนขนาดนั้น แต่นี่ถือเป็นกรณีที่หายากจริง ๆ เพราะหากคู่รักไม่ไว้วางใจกันและไม่ตรวจสอบ ความเสี่ยงที่ครอบครัวจะแตกแยกก็สูงมาก

ยังไงซะ เรื่องนี้ก็จบแบบมีความสุขนะ ทำได้เพียงส่งเสริมให้ครอบครัวมีสมาชิกใหม่" เหงียนถิงา ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบดีเอ็นเอและเทคโนโลยี พันธุศาสตร์ฮานอย กล่าว

ตามที่แพทย์ระบุ ฝาแฝดที่เหมือนกันเรียกอีกอย่างว่าแฝดโมโนไซโกติก เนื่องจากเอ็มบริโอได้รับการพัฒนาจากไซโกตตัวเดียวกัน ฝาแฝดที่เหมือนกันมักถูกมองว่าเป็นโคลนนิ่งของกันและกัน พวกมันมีพันธุกรรมที่คล้ายคลึงกัน เพราะเกิดจากไข่และสเปิร์มอันเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม จีโนมของพวกมันไม่สามารถเหมือนกันทั้งหมดได้ แต่ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว ยังคงสามารถระบุความแตกต่างได้ แม้ว่าจะมีไม่มากนัก เช่นเดียวกับความจริงที่ว่าฝาแฝดที่เหมือนกันนั้นมีรูปร่างหน้าตา ใบหน้า และแม้กระทั่งบุคลิกภาพที่เหมือนกัน แต่ลายนิ้วมือของพวกเขาก็ยังคงแตกต่างกัน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook