ครูใหญ่ขอเคล็ดลับ สาวเลี้ยงลูกให้เป็นอันดับ 1 ของโรงเรียน ไม่กั๊กบอก 3 สิ่งที่ทำทุกวัน
แม่ให้ลูกสาวทำ 3 สิ่งทุกวัน สร้างนิสัยที่ดีจนกลายเป็นอันดับ 1 ของโรงเรียนอย่างรวดเร็ว ครูใหญ่ยังอึ้งจนต้องถามเคล็ดลับ
ผู้ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กในประเทศจีน แชร์เรื่องราวของหลานสาวที่เพิ่งเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และไม่ถึงหนึ่งเดือนต่อมา เธอก็ได้รับใบรับรองที่ดีเยี่ยมจากโรงเรียน เป็นหลักฐานชี้ว่า "เก่งที่สุดในโรงเรียน" กลายเป็นนักเรียนวัยประถมที่ประสบความสำเร็จ ไม่เพียงแต่คะแนนสูงเท่านั้น แต่ยังมีความสามารถในการปรับตัวที่แข็งแกร่ง และมีความเป็นอิสระสูงอีกด้วย ถือเป็นนักเรียนที่ดีทั้งในด้านบุคลิกภาพและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ผู้อำนวยการโรงเรียนชื่นชมนักเรียนหญิงคนนี้เป็นพิเศษ และถามพ่อแม่ของเด็กว่า "คุณเลี้ยงลูกดีขนาดนี้ได้อย่างไร?" คำตอบที่ทำให้หลายๆ คนแปลกใจก็คือ "ทั้งหมดเป็นเพราะลูกสาวของฉันมีนิสัยดีๆ มากมายในช่วงที่เธออยู่ชั้นอนุบาล" และด้วยเหตุนี้ผู้เป็นแม่จึงเกิดแนวคิด “ไม่เปลี่ยนนิสัย” คอยสอนให้ทำ 3 สิ่ง ดังเช่นที่ทำสมัยอยู่อนุบาล
- นิสัยที่ 1: เข้านอนเร็วและตื่นเช้า สร้างนิสัยการงีบหลับ
เด็กส่วนมากหลังเข้าโรงเรียนประถมมักไม่ชอบที่ต้องตื่นเช้าทุกเช้า แม้ว่าจะมีนาฬิกาปลุกหรือพ่อแม่ปลุกก็ตาม การตื่นเป็นเรื่องยากมาก อีกทั้งเด็กๆ ยังไม่ชอบนอนเร็วทุกคืน รวมทั้งไม่ชอบเข้านอนตอนเที่ยง สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ผู้ปกครองปวดหัวทุกครั้งที่ลูกเริ่มเรียนชั้นประถมศึกษา
แต่พ่อแม่รู้หรือไม่ว่าตั้งแต่ตอนที่ลูกๆ อยู่ชั้นอนุบาล พวกเขาควรสร้างนิสัยการเรียนและการพักผ่อนให้กับลูกๆ เป็นประจำ บางครั้งพ่อแม่อาจทำงานหรือวุ่นวายอยู่กับสิ่งต่างๆ จนทำให้เข้านอนดึก แต่อย่าปล่อยให้ลูกนอนดึกตามไปด้วย การจัดการตารางการนอนของลูกอย่างหลวมๆ อาจทำให้ลูกตื่นสายในเช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับโรงเรียนอนุบาล แต่เมื่อขึ้นชั้นประถมจะทำแบบนั้นไม่ได้อีกต่อไป
ดังนั้นการเข้านอนเร็วและตื่นเช้า นอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ลูกได้ทำสิ่งต่างๆ ในระหว่างวันได้อย่างเต็มที่ จึงเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจอย่างยิ่ง พ่อแม่ควรตั้งกฎเกณฑ์กับลูก เช่น เข้านอนก่อน 21.00 น.ทุกคืน ตื่นตรงเวลาในตอนเช้า และงีบหลับตอนเที่ยงในช่วง 3 ปีของโรงเรียนอนุบาล นิสัยในการเรียน การเล่น และการพักผ่อนจะเกิดขึ้นเป็นประจำ และเด็กๆ จะปฏิบัติตามรูปแบบนี้อย่างเป็นธรรมชาติเมื่อเข้าโรงเรียนประถมศึกษา
พ่อแม่สามารถบอกลูกๆ ว่าการงีบหลับมีประโยชน์มากมาย ช่วยให้พวกเขาสร้างพลังงานที่สูญเสียไปในระหว่างวัน เรียนและเล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อตื่นนอน นอกจากนี้การงีบหลับยังช่วยให้เด็กๆ มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและฉลาดกว่าเพื่อนอีกด้วย และถ้าลูกมีนิสัยงีบหลับในช่วงบ่ายตอนอยู่ชั้นอนุบาล หรือตอนเข้าชั้นประถม มันจะง่ายขึ้น และเขาจะปรับตัวได้ดีกว่าเพื่อน
- นิสัยที่ 2: อ่านและฟังภาษาอังกฤษทุกคืน
เด็กอายุ 3-5 ปี เป็นช่วงทองของการพัฒนาสมองของเด็กๆ ช่วงนี้พ่อแม่ควรให้ความรู้ที่หลากหลายแก่ลูกๆ ให้ลูกน้อยอ่านหนังสือทุกคืนก่อนนอน ปัจจุบัน โรงเรียนอนุบาลหลายแห่งใช้รูปแบบการสอนแบบสองภาษา เชิญชวนครูต่างชาติมาสอนภาษาอังกฤษ เด็กๆ จะรู้สึกถึงเสน่ห์ของภาษาอังกฤษ
ผู้ปกครองควรช่วยให้บุตรหลานเรียนภาษาอังกฤษเชิงรุก เช่น ปล่อยให้พวกเขาดูวิดีโอหรือการ์ตูนภาษาอังกฤษทุกวัน ในช่วงนี้เด็กๆ จะได้รับความรู้ภาษาอังกฤษเพิ่มเติม อีกทั้ง พ่อแม่ควรปล่อยให้ลูกอ่านหนังสือนิทานประมาณ 2 เล่มก่อนนอนทุกคืน แล้วจะเห็นว่าความสามารถในการพูดของลูกค่อยๆ ดีขึ้น ทักษะการสื่อสารก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีความมั่นใจมากขึ้นด้วย
ที่สำคัญคือในอนาคตเมื่อเด็กๆ เมื่อเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ เด็กที่มีพื้นฐานความสามารถด้านภาษา ก็จะตามหลักสูตรของโรงเรียนให้ทัน จะเปิดรับและกระตือรือร้นในการเรียนรู้มากกว่านักเรียนปกติ และจะไม่พบอุปสรรคใดๆ สุดท้ายคะแนนของพวกเขาก็จะดีมากตามธรรมชาติ
- นิสัย 3: ให้ลูกเรียนรู้วิธีจัดระเบียบสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง
หลังจากที่ลูกไปโรงเรียนอนุบาลแล้ว พ่อแม่ต้องสอนให้ลูกถือกระเป๋าเอง กินข้าวเอง เดินด้วยตัวเอง พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้ลูกรู้ว่าเขาโตขึ้นแล้วและต้องเรียนรู้ที่จะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง สอนลูกน้อยของคุณถึงวิธีเก็บของเล่น หนังสือ และวิธีวางสิ่งของให้ถูกที่ นี่เป็นกฎที่เด็กๆ ควรปฏิบัติหลังจากเข้าโรงเรียนอนุบาล
อาจดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่จะช่วยให้ลูกของคุณพัฒนานิสัยที่ดีในการเป็นคนสะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย และทำสิ่งต่างๆ อย่างเป็นระเบียบ หลังจากที่เด็กๆ เข้าชั้นอนุบาลปลายแล้ว ผู้ปกครองสามารถปล่อยให้พวกเขาจัดของเล่นและวางในตำแหน่งเดิมก่อนเข้านอนทุกคืน
ในชีวิตประจำวันพ่อแม่ยังสามารถให้เด็กๆ มีส่วนทำงานบ้านง่ายๆ เช่น ทำความสะอาดบ้าน พับผ้าห่ม ช่วยพ่อแม่ทิ้งขยะ เป็นต้น เด็กๆ จะได้สัมผัสถึงความพอใจและความภาคภูมิใจในงานของตัวเอง เสริมให้เด็กยังคงมีความมั่นใจในตนเองต่อไป
อัลบั้มภาพ 4 ภาพ