นศ.ฆ่าโหดลูกอาจารย์ แค้นถูกด่า "โง่เหมือนวัว" เผยสิ่งที่พ่อเหยื่อทำในศาล สะเทือนใจที่สุด
นักศึกษาก่อเหตุสะเทือนขวัญ ลักพาตัวและสังหารลูกอาจารย์อย่างไร้ปราณี แก้แค้นหลังถูกด่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า "โง่เหมือนวัว" และไม่ช่วยเหลือเรื่องเกรด
ตามสำนวนคดี เมื่อเย็นวันที่ 11 พฤศจิกายน 2554 ตำรวจเวียดนามได้รับแจ้งว่าเด็กชายอายุ 8 ขวบหายตัวไป โดยผู้แจ้งคือพ่อของเด็ก ชื่อนายเกื่อง (นามสมมุติ) อายุ 34 ปี ปัจจุบันเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัย และเจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งเล่าว่าช่วงบ่ายวันนั้นเขายุ่งกับงาน จึงฝากพนักงานโรงแรมช่วยไปรับลูกที่โรงเรียนประถมแทน แต่สุดท้ายเขากลับไม่ได้เจอลูกอีกเลย
นายเกื่อง ถามหาลูกชายกับพนักงานในโรงแรม และพนักงานต้อนรับอายุ 35 ปี บอกว่าในช่วงบ่ายเธอขอให้นายคู (นามสมมุติ) นักศึกษาจากมหาวิทยาลัย ที่มาทำงานเป็นพนักงานต้อนรับ เป็นคนไปโรงเรียนไปรับเด็กที่โรงเรียน แต่เมื่อถูกถามอีกครั้งนายคูกลับบอกว่า ไปรอที่โรงเรียนนานแล้วแต่ไม่ได้เจอเลยกลับมา
ขณะที่ยังหาตัวลูกชายไม่พบ นายเกื่องได้รับข้อความจากหมายเลขที่ไม่รู้จัก ซึ่งมีเนื้อหาว่า "คุณคือเกื่องหรือเปล่า ลูกชายของคุณอยู่ในกำมือของผม อย่าบอกใครเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นลูกชายของคุณจะไม่ได้กลับไปหาคุณได้" ข้อความนี้ทำให้นายเกื่องกังวลมาก จึงรีบรีบไปกับไปที่สถานีตำรวจพร้อมกับนายคู เพื่อรายงานเหตุการณ์และขอความช่วยเหลือ
หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทำความเข้าใจกับสถานการณ์เบื้องต้น ให้ความเห็นว่าเป็นไปได้ที่เด็กชายจะถูกใครบางคนลักพาตัวไป โดยมีจุดประสงค์เพื่อเรียกร้องค่าไถ่หรือแก้แค้น เจ้าหน้าที่รีบดำเนินการค้นหาทันที หน่วยลาดตระเวนหลายหน่วยเข้าตรวจค้นพื้นที่รอบๆ โรงเรียนประถม และตามถนนอย่างเร่งด่วน แต่กลับไม่พบเบาะแสใดๆ
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่สืบสวนยังได้สอบสวนผู้ต้องสงสัย และบุคคลที่ทำงานในโรงแรมด้วย บุคคลแรกที่เจ้าหน้าที่เรียกตัวมาให้การเป็นพยานคือนายคู ผู้ที่ถูกวานให้ไปรับเด็กชายที่โรงเรียน ซึ่งบอกว่าไปรออยู่สักพักไม่เจอเด็กจึงกลับ ระหว่างทางแวะเล่นที่บ้านเพื่อน แล้วจึงกลับมาโรงแรมอีกครั้ง คำพูดของเขาแม้จะดูลื่นไหล แต่เจ้าหน้าที่สืบสวนที่มีประสบการณ์กลับพบความขัดแย้งเต็มไปหมด รายละเอียดสำคัญๆ มากมายค่อยๆ เปิดเผยผ่านประจักษ์พยานที่ไม่สอดคล้องกันของเขา
คณะทำงานเฉพาะกิจได้จัดการประชุมฉุกเฉินหลายครั้ง วิเคราะห์ ระบุตัว และค่อยๆ กำจัดผู้ต้องสงสัย รวมทั้งค้นหาที่มาของหมายเลขโทรศัพท์ที่ส่งข้อความข่มขู่นายเจื่อง ท้ายที่สุดเมื่อพิจารณาจากความคิดเห็นแล้ว ความเป็นไปได้สูงสุดยังคงมุ่งเน้นไปที่ผู้ต้องสงสัยคือ นายคู จึงดำเนินการสอบสวนต่ออย่างหนัก
จนกระทั่งในช่วงบ่ายของวันที่ 12 พฤศจิกายน นายคูยอมรับว่าเขาเป็นผู้ลักพาตัวและซ่อนเด็กไว้ที่บริเวณท่องเที่ยว แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าซ่อนไว้จุดที่ไหน อย่างไรก็ดี ตำรวจได้ออกหมายจับด่วนนายคูทันที และในช่วงบ่ายของวันที่ 13 พฤศจิกายน เขาก็ก้มหัวสารภาพว่าเป็นผู้กระทำความผิดที่ลักพาตัวและสังหารและซ่อนศพขอเด็กชายไว้ โดยครั้งนี้ยอมระบุพื้นที่อย่างชัดเจน จนกระทั่งตำรวจตามไปเจอร่างของเด็กชายในที่สุด
- ปมเหตุสังหารลูกอาจารย์
ตามรายงานพบว่า นายเกื่องหย่าขาดจากภรรยา และเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว เมื่อเห็นว่านายคู ศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะเศรษฐศาสตร์และการบัญชี มาศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยไกลบ้าน จึงเสนอให้จึงเสนอให้มาทำงานเป็นพนักงานต้อนรับและพนักงานเสิร์ฟอาหาร โดยพักอยู่ที่โรงแรม และได้รับเงินเดือน 500,000 ด่อง
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ทำงานที่นี่ นายคูบอกว่าเขาถูกคนที่เป็นทั้งอาจารย์และเจ้านายดุด่าว่า "โง่เหมือนวัวเหมือนควาย" ซ้ำแล้วซ้ำอีก อีกทั้งก่อนเกิดเหตุเขาพลาดคะแนนในหลายวิชา ตั้งใจจะขอความช่วยเหลือจากอาจารย์แต่ถูกปฏิเสธ และถึงกับขู่ว่าจะไม่ปล่อยให้เขารับปริญญา จึงโกรธมากและตั้งใจลงมือแก้แค้น
โดยเมื่อเวลาประมาณ 16.30 น. ของวันที่ 11 พฤศจิกายน 2554 หลังจากได้รับข้อความให้ไปรับเด็กชายที่โรงเรียนประถม เมื่อคิดว่านี่เป็นโอกาสที่จะแก้แค้น นายคูก็ยืมมอเตอร์ไซค์จากพนักงานของโรงแรม เพื่อไปซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์อีกอัน และไปที่บ้านของเพื่อนเพื่อเอาหนังยาและถุงมือที่ทำจากขนสัตว์ แล้วค่อยไปรับเด็กที่โรงเรียนประถม
หลังจากรับเด็กชายมาเรียบร้อยแล้ว ก็พาไปที่สถานที่เงียบสงบ เริ่มมัดมือ-เท้า และยัดถุงมือเข้าไปในปากของเด็ก เมื่อเด็กร้องไห้และโต้กลับเขาก็ชกหน้า และผลักหัวเข้ากับก้อนหินอย่างแรงจนเลือดออก แต่เด็กก็ยังสามารถปลดเชือกและพยายามวิ่งหนี แต่สุดท้ายก็ถูกจับไว้ได้ ก่อนถูกนายคูเอาหินทุบหัวซ้ำอีกครั้ง แล้วโยนลงหน้าผาจนเสียชีวิต
หลังจากก่ออาชญากรรม นายคูกลับไปที่หอพักของเพื่อนเพื่อยืมโทรศัพท์ ใส่ซิมการ์ดที่เพิ่งซื้อมาใหม่ และส่งข้อความหานายเกื่องเพื่อข่มขู่เขา ก่อนก็กลับไปที่โรงแรม และอ้างว่าเขาไปรับเด็กชายแล้วไม่เจอ อีกทั้งยังไปกับเขาที่สถานีตำรวจพร้อมนายเกื่อง เพื่อรายงานการหายตัวไปของเด็กชาย ทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
- ความรักและความหวังดีที่สูญเปล่า
จากข้อมูลที่หน่วยลาดตระเวนได้รับแสดง พบว่านายคูเป็นนักเรียนที่มีความต้องการสูง ชอบการพนันและเป็นหนี้ในจำนวนเงินที่สูง ในปี 2553 นายคูซึ่งเป็นลูกคนเล็ก จากพี่น้องทั้งหมด 4 คน เคยกลับบ้านและขอเงินพ่อแม่ 60 ล้านเวียดนามดอง (เกือบ 9 หมื่นบาท) เพื่อชำระหนี้การพนันฟุตบอล หลังจากเหตุการณ์นั้นเขาแสดงความเสียใจ สัญญาว่าจะตั้งใจเรียนและเริ่มต้นใหม่
โดยไม่คาดคิด ความรักและความหวังดีทั้งหมดที่ครอบครัว ครู และเพื่อนๆ มีต่อนายคูกลายเป็นศูนย์เปล่า เขายังคงติดการพนัน หัวหน้าฝ่ายกิจการนักศึกษากล่าวว่า เขามักจะขาดเรียนและโดดเรียน มีความก้าวหน้าทางวิชาการช้ากว่านักศึกษาคนอื่นๆ ที่ลงทะเบียนเรียนหลักสูตรเดียวกันถึงสองปี เนื่องจากขาดคะแนนในหลายวิชา และอาจเสี่ยงต่อการสอบรับปริญญาไม่ได้
อย่างไรก็ดี เมื่อได้ยินว่านายคูก่ออาชญากรรมร้ายแรงเช่นนี้ ครูและเพื่อนๆ ก็ต้องประหลาดใจ เพราะเขาไม่เคยทะเลาะวิวาท หรือก่อให้เกิดความวุ่นวายมาก่อน และไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยด้วย
เช่นเดียวกับครอบครัวที่ตกใจมากเมื่อทราบข่าวลูกลักพาตัวและสังหารเด็กชาย โดยอ้างว่าตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่ นายคูมีนิสัยที่อ่อนโยนและเชื่อฟังเสมอ “ฉันรักลูกๆ ของฉัน ฉันให้เงินเขาเพื่อชำระหนี้ทั้งหมด ฉันคิดว่าลูกชายของฉันคงจะรักฉันและเรียนหนัก แต่ฉันไม่ได้คาดหวังให้เขาเดินบนเส้นทางนี้” แม่นายคู กล่าว
แม้แต่พนักงานของโรงแรมก็ยืนยันเช่นกันว่า ระหว่างทำงานนายคูมีความอ่อนโยนมาก และได้รับความไว้วางใจจากทุกคนเสมอ เธอเองมองว่านายคูเป็นเหมือนน้องชายในครอบเดียวกัน พร้อมกล่าวเสริมว่า “ทุกๆ วัน คูมักจะใช้มอเตอร์ไซค์ของฉันเดินทางไปไหนมาไหน พี่สาวที่ทำงานเชื่อใจเขาเสมอ แต่พวกเราไม่คาดคิดว่าคนที่ฆ่าหลานชายของพวกเราจะคือคู"
- นักศึกษาปีสุดท้าย สู่นักโทษตลอดชีวิต
เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2555 ศาลได้เปิดการพิจารณาคดีครั้งแรก ในข้อหาฆาตกรรมของนายคู จำเลยสารภาพว่าก่ออาชญากรรมตามที่สำนักงานอัยการจังหวัดบิ่ญดิงห์ดำเนินคดี สิ่งที่น่าสะเทือนใจคือ นายเกื่อง ชายที่เพิ่งสูญเสียลูกเล็กไป แม้จะเจ็บปวดมาก แต่ก็ยังยืนขึ้นเพื่อขอลดโทษสำหรับนักเรียนที่ล้มเหลว
สุดท้าย นายคูจึงเปลี่ยนจากนักศึกษา กลายเป็นอาชญากร ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต พร้อมคำสั่งศาลให้จ่ายค่าชดเชยครอบครัวเหยื่อ จำนวน 110 ล้านดองเวียดนาม (ประมาณ 1.6 แสนบาท)
อัลบั้มภาพ 11 ภาพ