รวบ2น้าหลานปาบึ้ม ธ.กรุงเทพ สาขาสีลม

รวบ2น้าหลานปาบึ้ม ธ.กรุงเทพ สาขาสีลม

รวบ2น้าหลานปาบึ้ม ธ.กรุงเทพ สาขาสีลม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ตร.นครบาลตามรวบ 2 น้า-หลานร่วมกันปาบึ้มแบงก์กรุงเทพ สีลม อ้างคนเสื้อแดงโทรให้ช่วยออกมาป่วนเมือง แต่ไม่คิดว่าจะให้พาไปปาบึ้ม อภิสิทธิ์ยันไม่มีใครอยู่เหนือกม.แย้มงัด พรบ.มั่นคงคุมม็อบ

(7มี.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน บช.น. สามารถจับกุมคนร้ายปาระเบิดหน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาสีลม ได้ย่านวรจักร ตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 6 มี.ค. ที่ผ่านมา หลังได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า รู้จักกับผู้ที่อยู่ในภาพวงจรปิดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำมาเผยแพร่ จากาการสอบสวนทราบว่าชื่อนายเอกชัย มูลเจษ อายุ 23 ปี อดีตนักศึกษาชั้น ปวช.ช่างกลแห่งหนึ่งและให้การรับสารภาพว่า มีส่วนร่วมกับเหตุปาระเบิดจริง โดยได้รับการว่าจ้างจากอา ให้ขี่รถ จยย.ซ้อนมือระเบิดไปขว้างใส่หน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาสีลม เบื้องต้น เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างติดตามตัวอาของนายเอกชัยมาสอบปากคำ เพื่อขยายผลติดตามจับกุมมือระเบิดรายนี้ต่อไป

ผบช.น.ยันรวบมือวางบึ้มแบงค์รับโยงเสื้อแดง

เมื่อเวลา 13.30 น. พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นประธานกล่าวเปิดอบรมผู้นำชุมชนกรุงเทพมหานคร พร้อมกับมอบแนวทางในการเฝ้าระวังเหตุ และมอบแนวทางการปฏิบัติ เพื่อรับมือการชุมนุมใหญ่เสื้อแดง ที่คุรุสภา โดยมี พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เป็นผู้บรรยายหัวข้อเทคนิค การสังเกตจดจำ การเฝ้าระวังเหตุร้าย และการแจ้งเหตุ จากนั้น เวลา 14.30 น. มีการบรรยายเรื่องบทบาทของพลเมืองดี ในการรักษาความสงบเรียบร้อย และ เวลา 15.00 น. บรรยายเรื่องการสังเกตวัตถุต้องสงสัย และวัตถุระเบิด ท่ามกลางผู้นำชุมชนพื้นที่ต่างๆ ที่มาร่วมอบรมจำนวนมาก

ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าเจ้าหน้าที่สามารถจับตัวมือปาระเบิด ธ.กรุงเทพได้แล้วนั้น พล.ต.ท.สัณฐาน กล่าวว่า ขณะนี้สามารถจับกุมคนร้ายที่ลอบปาระเบิดธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ ถนนสีลม ได้แล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนขยายผล เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่ามีผู้จ้างวาน และเจ้าหน้าที่พอทราบเบาะแสผู้จ้างวานแล้ว แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นบุคคลมีสีหรือไม่ แต่ยอมรับการกระทำครั้งนี้เชื่อมโยงกับสถานการณ์ทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง

นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลกล่าวอีกว่า จะขอเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดอีกครั้ง

 

นครบาลรวบ2น้าหลานร่วมทีมปาบึ้มธ.กรุงเทพสีลม

ต่อมาเวลา 18.00 น. วันที่ 7 มีนาคม ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ พล.ต.ต.วีระพัฒน์ ตันศรีสกุล รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ รามสูตร ผบก.สส.บช.น. ร่วมกันแถลงผลจับกุม นายเอกชัย มูลเกษ อายุ 21 ปี อยู่บ้านเลขที่ 67/180 ซ.จันทน์ 23 แยก 17 แขวงทุ่งวัดดอน เขตยานนาวา กทม. ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.123/2553 (ผู้ขับขี่รถจยย.ยี่ห้อยามาฮ่า นูโว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน) ข้อหา ร่วมกันมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์สินของผู้อื่น ตามพ.ร.บ.อาวุธปืน พศ.2490 ร่วมกันทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์สินของผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,84,217,และ 222 นายไสว ยางสันเทียะ อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 67/180 ซ.จันทน์ 23 แยก 17 แขวงท่งวัดดอน เขตยานนาวา กทม. ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.126/2553 ในข้อหา เป็นผู้ใช้จ้างวานหรือยุยงให้บุคคลอื่นให้ร่วมกระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์สินของผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,84,217และ 222 โดยจับกุม นายเอกชัย ได้ที่ศูนย์การค้าวรรัตน์ ย่านถนนจันทน์ จากนั้นได้ทำการขยายผลจนสามารถจับกุมนายไสว ซึ่งเป็นน้าชายได้ที่บ้านพัก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการที่แถลงข่าวผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ไม่มีสีหน้าวิตกกังวล หรือเกรงกลัวต่อความผิดแต่อย่างใด มีการพูดคุยอย่างเปิดเผย บางครั้งยังพูดติดตลก โดยนายเอกชัย สวมเสื้อแขนยาวสีดำแถบขาวตัวเดียวกับที่ปรากฏในภาพที่ออกหมายจับ

พล.ต.ท.สัณฐาน กล่าวว่า จากเหตุคนร้ายขว้างปาระเบิดใส่ธนาคารกรุงเทพ สาขาสีลม เมื่อวันที่ 27 ก.พ.2553 เวลาประมาณ 21.20 น. เจ้าหน้าที่จึงได้สืบสวนจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 คนมาดำเนินคดีได้ในที่สุด แต่ยังเหลือคนร้ายที่หลบหนีอยู่อีก 1 คน ซึ่งเป็นคนขว้างปาระเบิด ขณะนี้ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้อนุมัติหมายจับที่ 107/2553 ข้อหาร่วมกันมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์สินของผู้อื่น ตามพ.ร.บ.อาวุธปืน พ.ศ.2490 ร่วมกันทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์สินของผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,84,217,และ 222 ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนติดตามตัว โดยได้ภาพคนร้ายจากกล้องวงจรปิดในที่ต่างๆ ซึ่งนายเอกชัย ยืนยันว่าบุคคลในภาพเป็นบุคคลเดียวกับคนที่ตนเองไปรับจากซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 3 ในคืนเกิดเหตุมาปาระเบิดที่ธนาคารดังกล่าว

พล.ต.ท.สัณฐาน กล่าวว่า ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ซึ่งเป็นน้าหลานกัน โดยนายไสว เป็นคนบอกให้นายเอกชัย ไปรับพรรคพวกซึ่งเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยกันไปปาระเบิด เบื้องต้นทั้ง 2 คน ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งหลังจากแถลงข่าวเสร็จสิ้น จะได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาให้พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา ไปสอบปากคำต่อ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนจะค้นบ้านพักของผู้ต้องหา เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมมาประกอบสำนวนคดี โดยในวันที่ 8 มี.ค.นี้ จะนำตัวผู้ต้องหาไปขออำนาจศาลฝากขังที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ เบื้องต้นพนักงานสอบสวนจะยื่นคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญ และเป็นที่สนใจของประชาชน ประกอบกับยังมีผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอีก 1 คน ส่วนผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอยู่คาดว่าจะได้ตัวในเร็วๆนี้

ด้านนายเอกชัย กล่าวว่า ก่อนหน่านี้เป็นพนักงานร้านไอศกรีม สเวนเซ่น สาขาชั้นใต้ดิน อาคารซีพีทาวเวอร์ เหตุที่ทำเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เนื่องจากไม่รู้มาก่อนว่าคนที่น้าให้ไปรับนั้นจะมาก่อเหตุปาระเบิดที่หน้าธนาคารกรุงเทพ หากรู้มาก่อนก็จะไม่ไป เพราะโดยส่วนตัวตนไม่ชอบความรุนแรงอยู่แล้ว แต่ยอมรับว่าชื่นชอบกลุ่มเสื้อแดงจริง ชอบในอุดมการณ์ของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่มีใครใช้จ้างวานให้มาก่อเหตุดังกล่าว ไม่รู้จักกับคนที่ปาระเบิดมาก่อน เพิ่งมารู้จักเป็นครั้งแรก เมื่อได้รับโทรศัพท์จากน้าชายได้ขี่รถจักรยานยนต์ไปยังจุดนัดพบ จากนั้นได้พาชายคนดังกล่าวซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มาที่ธนาคารกรุงเทพ สาขาสีลม โดยขี่รถวนไปวนมาอยู่ 2-3 รอบ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าให้ขี่รถวนทำไม แต่มารู้เมื่อเขาได้ปาระเบิด และมีเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ก็ตกใจนิดหน่อย หลังจากนั้นได้ไปส่งชายคนดังกล่าวที่ซอยประมวล ข้างโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน หลังจากก่อเหตุเสร็จได้กลับบ้านตามปกติ โดยไปแวะเล่นเกมที่ร้านเกมใกล้บ้าน ระหว่างนั้นได้ติดตามข่าวสารมาตลอด จนเป็นข่าวใหญ่ก็รู้สึกตกใจ เพราะตำรวจได้ออกหมายจับ แต่ตนก็ไม่ได้หลบหนีไปไหน ไปทำงานตามปกติกระทั่งถูกจับกุม

นายไสว กล่าวว่า ชื่นชอบกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นการส่วนตัว เมื่อมีการชุมนุมที่ไหนก็จะไปร่วมเสมอ โดยเฉพาะทื่ท้องสนามหลวงเพราะมีคนจำนวนมาก ไปแล้วได้รู้จักเพื่อนร่วมอุดมการณ์หลายคน ก่อนเกิดเหตุได้มีคนโทรศัพท์ เป็นเสียงผู้ชาย บอกว่าเป็นคนเสื้อแดงเหมือนกัน ชักชวนให้หาคนขี่รถจักรยานยนต์ไปก่อกวนสร้างความวุ่นวายตามที่ต่างๆ เมื่อถามว่าเป็นใครก็ไม่ยอมบอก บอกเพียงว่าเป็นคนที่เคยพบที่สนามหลวง ขอให้ช่วยกันหน่อย และให้หาคนขี่รถจักรยานยนต์ไปรับชายคนหนึ่งซึ่งจะรออยู่ที่ซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 3 ตนจึงได้บอกหลานชายให้ช่วยไปรับชายคนดังกล่าว แต่ไม่ทราบว่ารับไปทำอะไร หากรู้แต่แรกว่ารับไปปาระเบิด คงไม่สั่งให้หลานไป เพราะไม่ชอบความรุนแรงอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับระเบิด ยืนยันว่าไม่รู้จักคนที่ปาระเบิดมาก่อน

"เขาติดต่อมาให้หาเด็กไปฮึ่มๆ หน่อย ไปบิดรถมอเตอร์ไซด์เสียงดังกวนเมือง ปกติผมเป็นคนชอบเฮเฮา แต่ไม่ชอบความรุนแรง อย่างเรื่องระเบิดนี่ผมไม่เอาเลย ที่ผ่านมาเข้าร่วมม็อบเพราะอุดมการณ์ ไม่มีใครมาว่าจ้างทั้งนั้น ไปด้วยใจ คนที่หลานไปรับเขาก็เห็นกันแว็บเดียวพูดคุยกันไม่กี่คำ ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เป็นใครก็ไม่รู้ แต่ที่ให้หลานไปรับเพราะเห็นเป็นคนเสื้อแดงเหมือนกัน ส่วนที่ว่าเขาได้เบอร์ผมมาได้อย่างไร ที่ผ่านมาเมื่อไปร่วมชุมนุมแต่ละครั้งก็รู้จักคนเยอะ มีการแลกเบอร์โทรศัพท์กัน ไม่รู้ใครเป็นใคร แต่ส่วนใหญ่เป็นคนเสื้อแดง ผมยืนยันว่าไม่ได้เป็นแกนนำ หรือรู้จักแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นการส่วนตัว ส่วนเรื่องระเบิดนั้นผมไม่รู้เห็น ไม่เกี่ยวข้องด้วย" นายไสว กล่าว

 

อภิสิทธิ์ยันไม่มีใครอยู่เหนือกม.แย้มงัด พรบ.มั่นคงคุมม็อบ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความคืบหน้าการจับกุมมือปาระเบิดธนาคารกรุงเทพฯว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวคนขี่รถจักรยานยนต์คันที่ใช้ก่อเหตุแล้ว ล่าสุดเท่าที่ได้สอบถามไปขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนขยายผล ส่วนการจับกุมนายพรวัฒน์ ทองธนบูรณ์ หรือ เคทอง คนสนิทของเสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจสามาราถจับตัวได้แล้ว รวมถึงตั้งข้อหาเสธ.แดง ด้วย ฐานเป็นคนพาผู้ต้องหาหลบซ่อน ครอบครองอาวุธและใช้ทะเบียนรถปลอม เพราะฉะนั้นก็อยู่ระหว่างดำเนินการตามกฎหมาย

เมื่อถามถึงบทลงโทษนายทหารที่มีความผิดขนาดนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตำรวจจะต้องแจ้งให้กองทัพทราบ ว่าได้มีการควบคุมตัวนายทหาร ส่วนจะควบคุมตัวไปได้อีกนานแค่ไหนนั้นยังไม่ทราบ ขึ้นอยู่กับการสอบสวน และการประสานงานระหว่างตำรวจกับทหาร แต่เจ้าหน้าที่กำลังพิจารณากันอยู่ เพราะเกี่ยวข้องกับคดีความมั่นคงของประเทศ

เมื่อถามว่า เรื่องการควบคุมตัวเสธ.แดง จะเป็นฉนวนให้กลุ่มเสื้อแดง ชุมนุมยืดเยื้อหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงไม่ เพราะต้องยอมรับกฎหมาย แม้ว่าทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ถ้าเป็นการใช้สิทธิและนำไปสู่การกระทำผิดกฎหมายก็ต้องบอกว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเหมือนกัน

นายกฯ กล่าวว่า การที่ตนเชิญชวนให้ประชาชน ออกมาต่อสู้กับคนที่ใช้ความรุนแรงนั้น คำว่า "ต่อสู้" ไม่ใช่การออกมาใช้กำลัง แต่หมายความว่า เราจะต้องต่อสู่กับคนที่อยากใช้ความรุนแรง เพราะฉะนั้น ถ้าเราร่วมมือกันปฏิเสธความรุนแรง อย่าตกเป็นเหยื่อ เราก็จะสามารถฟันฝ่าไปได้ ซึ่งคนที่จะต่อสู้กับความรุนแรงนั้น ตนเชิญชวนคนเสื้อแดงด้วย เพราะมีเพียงคนกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น ที่ต้องการความรุนแรง ไม่ใช่คนเสื้อแดงส่วนใหญ่

เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ยังพยายามปลุกระดมอยู่ รัฐบาลไม่สามารถดำเนินการในเรื่องการโฟนอิน หรือการแพร่ภาพเหล่านี้ได้เลยหรือ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในทางเทคนิคไม่ง่ายที่จะไปป้องกัน แต่ก็คงจะต้องดูถ้าหากว่า การโฟนอินหรือวีดีโอลิงค์เข้ามา หรืออยู่เบื้องหลังความรุนแรง ก็จะเป็นข้อหาที่หนักสำหรับพ.ต.ท.ทักษิณ

เมื่อถามว่า ช่วงที่นายกฯ เดินทางไปปฏิบัติภาระกิจที่ประเทศออสเตเลีย ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ประชาชนจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร กับสถานการณ์การชุมนุม นายกฯ กล่าวว่า ขอย้ำอีกครั้งว่า ตนขอความร่วมมือจากประชาชน เป้าหมายของเราคือควรจะทำให้สังคมไทยสงบปราศจากความรุนแรง เพราะฉะนั้นถ้าประชาชน ซึ่งรวมถึงผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ให้การชุมนุมทางการเมืองเป็นการแสดงออกตามวิถีทางประชาธิปไตยจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ดังนั้นสิ่งที่ประชาชนจะช่วยเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ ก็คือ ให้ความร่วมมือเวลาที่เจ้าหน้าที่ร้องขอ เช่นการจัดระบบจราจร และประชาชน ก็สามารถช่วยแจ้งเบาะแส เมื่อเห็นความผิดปกติในเรื่องใดก็ตาม และสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะมีความรู้สึกอย่างไร จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับกลุ่มไหนก็ตาม ก็อย่าใช้ความรุนแรงเด็ดขาด ต้องอดทนอดกลั้น ยอมรับความแตกต่าง ยอมรับความหลากหลาย

เมื่อถามว่า ทหารออกมาบออกว่า ในการประชุม คณะกรรมการติดตามสถานการณ์ความมั่นคง (คตม.) วันพรุ่งนี้ (8 มี.ค.) นี้จะเสนอให้รัฐบาล ประกาศใช้พรบ.มั่นคง เพื่อควบคุมสถานการณ์ นายกฯ กล่าวว่า ก็รออยู่

"นายกฯ"รับรู้เรื่องมือดีฉกอาวุธสงครามในคลังแสงแล้ว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีคลังแสงกองพันทหารช่างที่ 401 กองทัพภาคที่ 4 ถูกงัดขโมยอาวุธสงคราม ไปเป็นจำนวนมากว่า ตนได้รับแจ้งมาตั้งแต่วันที่ 3 - 4 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งก็กำลังตรวจสอบอยู่ เมื่อถามว่า เป็นคลังแสงในพื้นที่ต่างจังหวัด สาเหตุเพราะการดูแลควบคุมหละหลวมไปหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กำลังตรวจสอบ เมื่อถามว่า เป็นห่วงเรื่องคลังแสงในพื้นที่อื่นๆ หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ปฏิเสธที่จะตอบคำถามดังกล่าว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook