สาวใจสลาย รพ.ทำเอกสารสลับ เจาะน้ำคร่ำผิดคน สุดท้ายต้องสูญเสียลูกในครรภ์

สาวใจสลาย รพ.ทำเอกสารสลับ เจาะน้ำคร่ำผิดคน สุดท้ายต้องสูญเสียลูกในครรภ์

สาวใจสลาย รพ.ทำเอกสารสลับ เจาะน้ำคร่ำผิดคน สุดท้ายต้องสูญเสียลูกในครรภ์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สาวใจสลาย รพ.ทำเอกสารสลับ เจาะน้ำคร่ำผิดคน สุดท้ายต้องสูญเสียลูกในครรภ์ ทั้งที่ตอนแรกลูกปกติดี

(24 ต.ค.66) เมื่อเวลา 13.30 น. ที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ต.ลำผักกูด อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี นางมล อายุ 32 ปี (นามสมมุติ) ได้เข้าร้องทุกข์ต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ ขอความเป็นธรรมกรณี น.ส.มล ตั้งครรภ์และไปฝากท้องที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ รพ. ส่งเอกสารผลการตรวจเลือดของคนไข้ให้แพทย์สลับคน แพทย์จึงเจาะน้ำคร่ำตรวจวินิจฉัยดาวน์ซินโดรมทารกในครรภ์แม่ผิดคน หลังเอกสารผลเลือดที่มีความเสี่ยงเป็นชื่อผู้หญิงอีกคน

นางมลโชคร้ายซ้ำสองหลังจากเจาะน้ำคร่ำเกิดภาวะถุงน้ำคร่ำรั่ว ต่อมาเด็กเสียชีวิต ต้องยุติการตั้งครรภ์ ทั้งๆ ที่ผลตรวจเลือดนางมล เป็นปกติ รพ.ทำงานผิดพลาด เป็นเหตุให้ต้องเสียลูก ครอบครัวต้องการให้ รพ.รับผิดชอบ ขอให้มูลนิธิปวีณาฯ ตรวจสอบอย่าให้เกิดขึ้นกับครอบครัวใครอีก

น.ส.มล กล่าวว่า ตนเป็นพนักงานบัญชีอยู่บริษัทแห่งหนึ่ง ขณะที่สามีก็เป็นพนักงานด้านไอทีบริษัทเดียวกัน แต่งงานอยู่กินกันมาหลายปีมีลูกสาวคนโตวัย 1 ขวบ 5 เดือน ตนกับสามีตั้งใจจะมีลูก  2 คน เป็นครอบครัวที่อบอุ่น กระทั่งช่วงเดือน ส.ค.ที่ผ่านมาตนก็ได้ตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 สมใจ และวันที่ 16 ส.ค. ได้ไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งย่านพุทธมณฑล พบว่าลูกในครรภ์มีอายุประมาณ 10 สัปดาห์

จากนั้นวันที่ 21 ก.ย. แพทย์นัดไปพบเพื่อเจาะเลือด วันที่ 28 ก.ย. ทราบผลเลือดว่าเด็กในครรภ์มีความเสี่ยงที่จะเป็นดาวน์ซินโดรม แพทย์จึงได้นัดวันที่ 3 ต.ค. เพื่อเจาะน้ำคร่ำตรวจโครโมโซมวินิจฉัยดาวน์ซินโดรมทารกในครรภ์ ตอนนั้นตนเองก็สงสัยว่าตนอายุเพียง 32 ปี และท้องคลอดลูกคนแรกก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร อีกทั้งเกรงว่าการเจาะน้ำคร่ำอาจจะมีความเสี่ยงต่อลูกในครรภ์

วันที่ 29 ก.ย. จึงได้เลือกที่จะไปตรวจ NIPS (Non Invasive Prenatal Screening) ซึ่งเป็นวิธีการตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมของลูกในครรภ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อแม่และลูก โดยแพทย์จะเจาะเลือดของแม่ไปตรวจในห้องแลป และพ่อแม่ยอมเสียค่าใช้จ่ายเอง โดยจะทราบผลในวันที่ 6 ต.ค. ระหว่างที่รอผลตรวจ NIPS วันที่ 3 ต.ค. ตนก็ได้ไปที่โรงพยาบาลตามที่เจ้าหน้าที่แจ้งให้มาพบแพทย์เจาะน้ำคร่ำ เจ้าหน้าที่ก็ได้ให้บัตรคิวแนบกับสมุดบันทึกแม่และเด็กรอพบแพทย์ เมื่อถึงคิวเจ้าหน้าที่ก็เรียกตามหมายเลขบัตรคิวที่ถือ แต่ไม่ได้เรียกชื่อ-นามสกุลแต่อย่างใด เมื่อพบแพทย์ตนก็บอกว่าได้ไปตรวจ NIPS มาแล้วแต่ยังต้องรอผลในวันที่ 6 ต.ค. จะมาขอเลื่อนนัดเจาะน้ำคร่ำออกไปก่อน แต่แพทย์ได้อ่านผลตรวจเลือดบอกว่าทารกในครรภ์มีความเสี่ยงสูงควรจะรีบเจาะน้ำคร่ำเพื่อตรวจโครโมโซม หากช้ากว่านี้จะไม่เป็นผลดี ตนจึงต้องยอมให้แพทย์เจาะตรวจน้ำคร่ำในวันนั้น

หลังตรวจเสร็จก็เดินทางกลับบ้าน วันที่ 4 ต.ค. ขณะที่นั่งดูสมุดบันทึกแม่และเด็กพบเอกสารผลเลือดคัดกรองดาวน์ซินโดรม แต่ไม่ใช่เป็นชื่อของตน กลับเป็นชื่อของ นางเอ (นามสมมุติ) อายุ 42 ปี ตนจึงมั่นใจว่าแพทย์ได้เจาะน้ำคร่ำผิดคนแล้ว เพราะเอกสารผลเลือดที่ระบุเด็กมีความเสี่ยงเป็นดาวน์ซินโดรมที่แนบมากับสมุดบันทึกแม่และเด็กเป็นชื่อผู้หญิงคนอื่น ต่อมาวันที่ 5 ต.ค. ตนจึงเอาเอกสารดังกล่าวไปสอบถามที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ก็ทำเหมือนไม่มีอะไรแจ้งแค่ว่าเอกสารผิดก่อนจะนำไปขยำทิ้ง แล้วปรินต์ผลเลือดใบใหม่ที่เป็นชื่อของตนมาแนบกับสมุดบันทึกแม่และเด็ก ซึ่งเมื่อตนดูผลเลือดแล้วก็ไม่ได้ระบุว่าทารกมีความเสี่ยงดาวน์ซินโดรมแต่อย่างใด

กระทั่งวันที่ 6 ต.ค. ผลการตรวจ NIPS ก็แจ้งมาว่า โครโมโซมของทารกในครรภ์ปกติทุกอย่าง เมื่อรู้ความจริงแทบช็อก เพราะตนได้ถูกเจาะน้ำคร่ำไปแล้วหากเกิดอะไรขึ้นกับลูกจะทำอย่างไร เพราะหลังจากเจาะตรวจน้ำคร่ำเมื่อวันที่ 3 ต.ค. จนถึงวันที่ 6 ต.ค. ตนก็ยังมีน้ำคร่ำไหลออกมาเรื่อยๆ จึงตัดสินใจไปโรงพยาบาลอีกแห่งอยู่แถวเจริญกรุง แพทย์ตรวจร่างกายพบว่า ถุงน้ำคร่ำรั่ว ซึ่งเกิดขึ้นได้กับคนที่เจาะน้ำคร่ำ 1 ใน 350 คน จึงให้นอนแอดมิตดูอาการ พร้อมให้ยาฆ่าเชื้อ และอัลตร้าซาว์ดดูเด็กในครรภ์

ระหว่างนอนดูอาการ 3 วัน พบว่าเด็กในครรภ์อาการแย่ลงเรื่อยๆ วันที่ 10 ต.ค. แพทย์จึงให้ตัดสินใจและทำการยุติการตั้งครรภ์ลง ในวันที่ 11 ต.ค. ตนจึงได้ออกจากโรงพยาบาลย่านเจริญกรุง กลับมาพักที่บ้าน แต่ยังทำใจไม่ได้ที่ต้องสูญเสียลูกไปเพราะความผิดพลาดจากเอกสารใบเดียว ถ้าหากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแห่งแรกมีความละเอียดรอบคอบคงไม่เอาผลเลือดคัดกรองดาวน์ซินโดรมที่มีความเสี่ยงของคนอื่นมาใส่เป็นของตน และตนคงไม่ต้องเจาะถุงน้ำคร่ำจนเป็นเหตุให้ต้องสูญเสียลูกไป

ต่อมาวันที่ 12 ต.ค. ตนได้แจ้งเรื่องร้องเรียนไปที่โรงพยาบาล วันที่ 17 ต.ค. ทางโรงพยาบาลให้ตนไปพบเจ้าหน้าที่และนิติกร แต่ก็เป็นเพียงการสอบถามรายละเอียดเท่านั้นจนถึงตอนนี้ทางโรงพยาบาลก็ยังไม่มีคำขอโทษ หรือแจ้งว่าจะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร ตนกับสามีจึงตัดสินใจเข้าร้องทุกข์ขอมูลนิธิปวีณาฯ ช่วยให้ความเป็นธรรมด้วย

นางปวีณา กล่าวว่า เหตุการณ์เช่นนี้ ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับ รพ.ใหญ่ที่ได้ดำเนินการมาเป็นเวลานานแล้ว ขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียลูกน้อยในครรภ์ของครอบครัวนางมลด้วย ตามที่นางมลเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นที่น่าสังเกตว่า ข้อผิดพลาดของ รพ.น่าจะเกิดมาจากการที่ รพ.มีนโยบายไม่เรียกชื่อคนไข้ เรียกแต่หมายเลข และทางรพ.ได้สลับหมายเลขคนไข้ ทำให้ใบตรวจเลือดคนไข้สลับกัน จึงเป็นสาเหตุทำให้นางมลสูญเสียลูกน้อยในครรภ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่เศร้าอย่างยิ่ง และต้องไม่ให้เกิดเหตุขึ้นกับครอบครัวใครอีกต่อไป เนื่องจาก รพ.แห่งนี้สังกัดสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร (กทม.) นางปวีณา จะประสานยังท่าน ผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง รพ.ต้องรับผิดชอบกับครอบครัวคนไข้รายนี้ และปรับปรุงแก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกต่อไป โดยนางปวีณา จะติดตามผลการดำเนินการร่วมกับกรุงเทพมหานครต่อไป  

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook