แม่ว้าวุ่น ลูกชายวัย 15 กลับบ้านช้าทุกวัน ตามดูถึงรู้โกหก "แอบทำงาน" ฟังเหตุผลยิ่งปวดใจ
แม่แอบตามดูลูกชายวัย 15 กลับบ้านช้าทุกวัน ทำอะไรหลังเลิกเรียน ก่อนเห็นภาพปวดใจ "แอบทำงาน" ต้องจับมานั่งคุยให้รู้เรื่อง
เว็บไซต์ phunuphapluat.nguoiduatin.vn ของเวียดนาม รายงานเรื่องราวของคุณแม่คนหนึ่ง ที่ออกมาเล่าแอบใจหายเล็กๆ เมื่อเห็นเหตุการณ์หนึ่งต่อหน้าต่อตา เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้รู้ว่าลูกชายไม่ได้เป็นเด็กเล็กๆ ที่ต้องเฝ้าดูแลเหมือนไข่อีกต่อไปแล้ว
โดยเธอเล่าว่า เนื่องจากชีวิตแต่งงานที่ไม่มีความสุข ดังนั้นเธอจึงหลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวตั้งแต่อายุ 20 ปีเท่านั้น จนถึงตอนนี้ก็เลี้ยงดูลูกชายเพียงลำพังมานานกว่าสิบปี จากเด็กน้อยตัวเล็กๆ ก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นนักเรียนที่กำลังจะเข้าโรงเรียนมัธยมปลายแล้ว "ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่มีช่วงเวลาง่ายๆ ในการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ฉันก็เช่นกัน"
แต่โชคดีที่ลูกชายของเธอเป็นเด็กเชื่อฟัง มีความคิด อารมณ์ และจิตใจที่ดี ไม่เคยทำเรื่องใดๆ ให้แม่ต้องลำบากใจ เขาเข้าใจสถานะการณ์ความเป็นอยู่ในครอบครัว และปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องเสมอ โดยปกติทุกวันเมื่อแม่กลับจากที่ทำงาน และลูกกลับจากโรงเรียน ทั้งคู่จะใช้เวลาร่วมกัน พูดคุยและเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างวัน แม้ว่าชีวิตของแม่และลูกชายจะไม่ได้เต็มไปด้วยความฟุ่มเฟือยทางวัตถุ แต่ก็สงบสุขและมีความสุขมาก
แต่เมื่อไม่นานมานี้ จู่ๆ แม่ก็พบว่าลูกชายของแปลกไป โดยปกติไม่เคยออกไปเที่ยวเล่นหลังเลิกเรียน และไม่เคยกลับบ้านสายเลย แต่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าแม่ว่าจะกลับมาจากที่ทำงานและทำอาหารเย็นจนเสร็จแล้ว หลังจากนั้นลูกชายถึงเดินเข้าประตูบ้านมา ตอนแรกเพราะเชื่อใจลูกจึงไม่สงสัยๆ แค่ถามว่าทำไมกลับบ้านดึก คำตอบที่ลูกให้มาก็คือ กำลังจะสอบกลางภาค บทเรียนยากขึ้น การบ้านก็มากขึ้นเรื่อยๆ จึงไปติวที่บ้านเพื่อนด้วยกัน เพราะลูกชายไม่เคยโกหกแม่ ดังนั้นแม่จึงเชื่อว่าคำอธิบายนั้นเป็นความจริงอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเหตุการณ์ดำเนินไปนานขึ้น แม่เริ่มสังเกตเห็นว่าลูกชายมักจะกลับบ้านด้วยใบหน้าที่เซื่องซึม เสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อย และเต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อ ในตอนนี้แม่มั่นใจว่ามีบางอย่างที่เด็กคนนี้ปิดบังอยู่ เย็นวันต่อมาจึงตัดสินใจไปรับลูกที่โรงเรียนโดยไม่บอกล่วงหน้า เมื่อเห็นลูกชายออกมาจากรั้วโรงเรียนก็เริ่มขับรถตามไป กระทั่งเห็นลูกแวะไปที่ร้านกาแฟใกล้โรงเรียน และเหตุการณ์ที่ตามมาก็ทำให้ใจแม่เต้นแรง เพราะลูกชายแสนรักที่เธอมักโอบอุ้มเหมือนไข่ใบเล็กๆ เมื่ออยู่ที่บ้าน กลับแอบทำงานพาร์ทไทม์ในร้านกาแฟ ทั้งเสิร์ฟและทำความสะอาด
เมื่อเห็นภาพนั้นแม่ทั้งทั้งโกรธและเสียใจอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้เข้าไปเปิดเผยตัวตนที่ร้านกาแฟ ใจเย็นรอจนกระทั่งลูกกลับถึงบ้าน จึงเริ่มต้นคุยอย่างจริงจัง "ลูกมีอะไรปิดบังแม่อยู่หรือเปล่า? ช่วยซื่อสัตย์กับแม่ แม่พร้อมรับฟังและสนับสนุนเสมอหากลูกต้องการอะไร"
เมื่อได้ยินคำถามลูกชายก็แสดงอาการแปลกใจเล็กน้อย และนาทีต่อมาก็ดูเหมือนจะเดาได้ว่าแม่รู้อะไรบางอย่างแล้ว และโชคดีที่ลูกชายไม่เลือกที่จะซ่อน ปฏิเสธ หรือแม้แต่โกหกต่อไป เพียงแค่มองแม่ด้วยสีหน้าเศร้าๆ และอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างสื่อถึงอารมณ์ "ผมกลัวแม่จะเสียใจ กลัวแม่จะกังวล จึงโกหกและบอกว่าไปติวบ้านเพื่อน จริงๆ แล้วผมทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟใกล้โรงเรียน ผมอยากหาเงินเองเพื่อซื้อคอมพิวเตอร์ไว้เรียน มันจำเป็นจริงๆ แต่ราคาแพงเกินไป ไม่อยากให้แม่ทำงานหนักเพื่อผมอีกต่อไป"
เมื่อได้ยินดังนั้นแม่ก็พูดกลับไปทันทีว่า "ลูกชาย! แม่เป็นคนที่ทำให้ลูกเกิดมา ดังนั้นแม่จะพยายามทำให้ชีวิตลูกสมบูรณ์ที่สุดอย่างแน่นอน ตราบใดที่ลูกเชื่อฟังและเรียนหนัก แม่ก็จะจัดให้ได้ทุกอย่าง แม่ไม่ได้ตำหนิลูก แต่แม่ผิดหวังและเสียใจเล็กน้อยเพราะลูกโกหก ลูกยังอยู่ในวัยเรียน แม่ไม่อยากให้ต้องลำบากเร็วขนาดนี้ เทียบกับการทำงานพาร์ทไทม์หาเงินแล้ว อายุเท่านี้ยังควรเน้นเรียนอยู่นะ เข้าใจไหมลูก?"
ลูกชายที่เชื่อฟังก็เข้าใจในความเป็นห่วงของแม่ ในขณะเดียวกันก็บอกเล่าในสิ่งที่เขาได้รับมาจากประสบการณ์การทำงานด้วย "ผมขอโทษ ผมเข้าใจแม่ แต่แม่ต้องขอบคุณการทำงานพาร์ทไทม์ มันทำให้ผมได้สัมผัสกับสิ่งที่น่าสนใจและเจอเรื่องใหม่ๆ มากมาย! เมื่อก่อนไม่เคยรู้แต่ตอนนี้ได้รู้เรื่องใหม่ๆ แถมผมยังได้เจอเพื่อนร่วมงานที่น่ารักและเป็นกันเองอีกด้วย จากนี้ผมจะหยุดพักงานเพื่อตั้งใจเรียน แต่ผมก็รู้สึกมีความสุขมากกับสิ่งที่ได้เจอมาจริงๆ นะครับ"
เมื่อได้ฟังเรื่องราวในมุมของลูก แม่จึงบอกว่าหากอยากหาประสบการณ์จากการทำงานนอกเวลา ในอนาคตแม่จะไม่ห้าม และพร้อมที่จะสนับสนุน ปล่อยให้ได้สัมผัสประสบการณ์อย่างอิสระ ขอเพียงรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมกว่านี้สักหน่อย
สุดท้ายนี้ คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวผู้เป็นคนเล่าเรื่องราว บอกว่า ต้องขอบคุณบทสนทนาด้วยเหตุผลระหว่างแม่-ลูกในวันนั้น ที่ทำให้ทุกอย่างคลี่คลายได้อย่างราบรื่น แทนที่จะกล่าวโทษลูก กลับกลายเป็นความรู้สึกภูมิใจในตัวลูกมากขึ้น เและเหตุการณ์นี้พิสูจน์ให้เห็นว่าวิธีการเลี้ยงเธอที่ผ่านมาไม่ได้แย่ เพราะลูกชายของเธอเติบโตมาอย่างดี เริ่มเป็นผู้ใหญ่ที่ดี มีความสามารถและมีความเข้าอกเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ
คุณแม่บ้านนี้ เลือกที่จะสนับสนุนให้ลูกได้สัมผัสประสบการณ์อย่างอิสระในเวลาที่เหมาะสม แล้วสำหรับพ่อแม่คนอื่นๆ คุณจะสนับสนุนให้ลูกทำงานพาร์ทไทม์ในขณะที่ยังเรียนหนังสือหรือไม่?