แม่เปิดกล้องดึกๆ เห็นลูกสาวมุดลงใต้เตียง ถึงกับต้องย่องไปเช็กชัดๆ ซ่อนอะไรไว้?
ลูกสาวเพิ่งกลับจากบ้านปู่-ย่า แม่เปิดกล้องดึกๆ เห็นมุดลงใต้เตียงทุกคืน แอบย่องไปตรวจดูเจอขนมเพียบ
เคยได้ยินคุณพ่อคุณแม่หลายคนบ่นกันว่า ปู่ย่าตายายมักจะเอาอกเอาใจหลานๆ มากเกินไป จนบางครั้งอาจทำให้เด็กติดนิสัยทีไม่ดีบางอย่าง ส่งผลให้พ่อแม่ดูแลลูกได้ยากขึ้นด้วย ล่าสุดมีคุณแม่คนหนึ่งที่ออกมาแชร์ว่าเจอสถานการณ์ที่คล้ายกัน ทำให้เธอเข้าใจคำกล่าวนั้นอย่างถ่องแท้เลยทีเดียว
ตามรายงานของเว็บไซต์ phunuphapluat.nguoiduatin คุณแม่คนหนึ่งเล่าว่า เธอได้ส่งลูกสาววัย 9 ขวบไปอยู่กับพ่อแม่ของสามีในช่วงปิดเทอม เนื่องจากเธอและสามีต้องเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศประมาณ 1 เดือน หลังจากกลับมาก็รีบไปรับลูกกลับบ้านทันที เพื่อเตรียมตัวสำหรับปีการศึกษาใหม่
แต่เมื่อได้เจอหน้ากันเธอก็ค่อนข้างแปลกใจกับรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของลูกสาว ดูเหมือนว่าลูกจะเติบโตเร็วขึ้นกว่าปกติมาก และแน่นอนว่าร่างกายที่สมบูรณ์นั้นทำให้เธอรู้สึกพอใจมาก แม้จะไม่รู้ว่าพ่อแม่ของสามีมีเคล็ดลับอะไรในการเลี้ยงดูหลานก็ตาม
อย่างไรก็ดี เมื่อลูกสาวกลับมาอยู่บ้านกลับพบพฤติกรรมแปลกๆ เช่น ทานข้าวน้อยลงเรื่อยๆ และมักจะคลานลงไปใต้เตียงตอนกลางคืนเป็นเวลานาน ก่อนจะปีนขึ้นไปบนเตียงเพื่อเข้านอน ซึ่งเธอพบพฤติกรรมนี้โดยบังเอิญระหว่างตรวจกล้องวงจรปิดในห้องลูกสาว
และเพื่อคลายข้อสงสัยในพฤติกรรมเหล่านั้น เธอจึงอาศัยช่วงที่ลูกหลับลึกแอบเข้าไปในห้องนอนเพื่อตรวจสอบ และก็ต้องพบว่าความลับที่ลูกสาวปกปิดไว้ใต้เตียง คือ "กองขนม" มากมาย ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมลูกถึงทานอาหารมื้อหลักน้อยมากๆ ในแต่ละวัน
วันรุ่งขึ้น เธอเฝ้ารอจนกระทั่งลูกสาวกลับมาจากโรงเรียน ถึงเริ่มต้นบทสนทนาอย่างจริงจังเพื่อแก้ไขปัญหา แน่นอนว่าไม่ใช้วิธีดุด่าหรือเฆี่ยนตี แต่ใช้คำพูดที่อ่อนโยนเพื่อให้ลูกยอมเปิดใจเล่าให้แม่ฟังอย่างตรงไปตรงมา
"อันอัน วันนี้ตอนที่แม่ทำความสะอาดห้องของหนู แม่บังเอิญเห็นห่อขนมอยู่ใต้เตียง หนูช่วยเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟังหน่อยได้ไหมลูก? บอกความจริงแล้วแม่จะไม่โกรธ ไม่ต้องกลัวว่าแม่จะดุหรือตี"
ทางด้านของลูกสาวตัวน้อย เมื่อรู้ว่าความลับที่เก็บซ่อนไว้ใต้เตียงถูกแม่ค้นพบแล้ว ก็แสดงท่าทีกังวลออกมาเล็กน้อย แต่โชคดีที่เธอไม่เลือกที่จะโกหกและยอมเล่าความจริงทั้งหมดให้แม่ฟัง
"หนูขอโทษค่ะ แต่หนูกลัวว่าจะโดนแม่ดุ และไม่ให้กินขนม เลบแอบซ่อนมันไว้ใต้เตียง"
"หนูเอาเงินที่ไหนมาซื้อขนมพวกนี้?"
"คุณปู่คุณย่าให้มา แล้วก็เงินเหลือจากค่าขนมที่พ่อแม่ให้ แล้วก็ยังมีเงินที่พ่อให้ไว้เป็นมื้อเช้าด้วย แม่! หนูเก็บเงินได้นะคะ เก็บเงินได้นิดหน่อย แล้วก็ซื้อขนมที่หนูชอบ"
"แต่เมื่อก่อนหนูไม่มีนิสัยกินขนมแบบนั้น ทำไมตอนนี้ถึงกินล่ะ?"
"ตอนอยู่บ้านคุณปู่คุณย่าซื้ออาหารอร่อยๆ ให้กินเยอะเลย ขนมก็ด้วย หนูชอบอยู่กับคุณปู่คุณย่าเพราะใจดี ซื้อทุกอย่างที่หนูชอบให้หมดเลย แต่พ่อแม่เข้มงวดอยู่ตลอด ห้ามไม่ให้อันนี้ ห้ามไม่ให้กินอันนี้ หนูเสียใจมาก!"
เมื่อฟังคำสารภาพของลูกสาวจบ ผู้เป็นแม่ก็เข้าใจว่าทำไมแค่ส่งลูกไปอยู่กับพ่อแม่สามีเพียง 1 เดือนเท่านั้น แต่กลับมีร่างกายที่สมบูรณ์ขึ้นอย่างมากจนน่าตกใจ เพราะพวกท่านคอยตามใจ และยอมให้ทานขนมแทนข้าวอยู่ทุกวัน แล้วแบบนี้จะไม่อ้วนได้ยังไงกันล่ะ? ยังถือเป็นโชคดีที่เธอรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะถ้าเหตุการณ์นี้ดำเนินต่อไปอีกเรื่อยๆ เกรงว่าลูกสาวจะสุขภาพแย่ และอาจต้องเผชิญกับโรคอ้วนในเด็ก
มีหลายวิธีในการช่วยให้เด็กมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นและเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยวิธีเลี้ยงหลานของพ่อแม่สามีแบบนี้ เธอไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะไม่ช้าก็เร็ว อาหารขยะจะสะสมในกระเพาะของเด็กมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจะเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ โดยเฉพาะอาหารประเภทนี้จะทำให้เด็กมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนมากที่สุด
ตามใจให้ลูก "เลือกกิน" มีผลเสียมากกว่าที่คิด
การยอมให้เด็กทานอาหารขยะเยอะๆ และการงดมื้ออาหาร อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและพัฒนาการโดยรวมของเด็กได้ ซึ่งเป็นอิทธิพลที่ชัดเจนที่สุด 5 ประการของรูปแบบการเลี้ยงลูกในลักษณะนี้ คือ
- ขาดสารอาหารที่จำเป็น
อาหารขยะมักมีสารอาหารน้อยมาก และมีแคลอรี่ น้ำตาล และไขมันสูง เมื่อเด็กกินของว่างเยอะๆ และข้ามมื้ออาหาร พวกเขาอาจขาดสารอาหารที่สำคัญ เช่น วิตามิน แร่ธาตุ ไฟเบอร์ และโปรตีน ส่งผลต่อพัฒนาการโดยรวมของเด็ก ทำให้เกิดปัญหาน้ำหนักขึ้นไม่สมดุล หรือภาวะทุพโภชนาการ
- ความผิดปกติของระบบย่อยอาหาร
อาหารขยะมักจะมีไขมันและน้ำตาลจำนวนมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดปกติในการย่อยอาหาร เช่น ท้องผูก หรือท้องเสีย การขาดใยอาหารจากอาหารหลัก อาจทำให้เกิดปัญหาทางเดินอาหารได้ ปัญหาเหล่านี้ทำให้รู้สึกไม่สบายและส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของเด็ก
- ความไม่สมดุลของพลังงาน
อาหารขยะมักประกอบด้วยแคลอรี่จำนวนมาก แต่มีสารอาหารน้อย ทำให้เกิดความไม่สมดุลของพลังงาน เด็กอาจบริโภคแคลอรี่มากเกินไปจากอาหารขยะ โดยไม่ได้รับสารอาหารที่จำเป็นเพียงพอ ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างไม่สมส่วน และมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคอ้วน
- ผลกระทบต่อสุขภาพจิต
การรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล อาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของเด็กได้ การบริโภคของว่างมากเกินไป และการงดมื้ออาหาร อาจทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า สมาธิไม่ดี และขาดพลังงาน นอกจากนี้ การขาดสารอาหารที่ร่างกายต้องการ ยังส่งผลต่ออารมณ์ของเด็กอีกด้วย
- สร้างนิสัยที่ไม่ดี
การให้ขนมแก่เด็กๆ มากๆ และการงดมื้ออาหาร สามารถสร้างนิสัยที่ไม่ดีในการ "เลือกกิน" ได้ เด็กอาจกลายเป็นคนจุกจิก และมักปฏิเสธที่จะกินอาหารที่จำเป็นต่อสุขภาพและพัฒนาการที่สมดุล สิ่งนี้สามารถสร้างรูปแบบการกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งอาจยากต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ดังนั้น เพื่อให้เด็กมีการเจริญเติบโตที่ดีที่สุดและครอบคลุมที่สุด พ่อแม่ควรช่วยให้ลูกรับประทานอาหารที่สมดุล ด้วยอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการในแต่ละวัน และจำกัดอาหารขยะ เช่น เค้ก ลูกอม น้ำอัดลม และบรรดาอาหารจานด่วนต่างๆ