"หยุดการสังหารหมู่" ทั่วโลกลุกฮือประท้วง เรียกร้องอิสราเอลยุติสงครามเข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์

สงครามระหว่าง “อิสราเอล” และ “กลุ่มฮามาส” ยังคุกรุ่นและทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หลังอิสราเอลประกาศยกระดับการโจมตีกาซา หลังเหตุระเบิดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในฉนวนกาซาเมื่อวันที่ 17 ต.ค. ที่ผ่านมา ก็ยังมีการระดมยิงขีปนาวุธเข้าใส่พื้นที่กาซายังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตแล้วหลายพันคน อาคารบ้านเรือนในกาซาพังราบคาบ ขณะที่สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในพื้นที่กำลังขาดแคลนอย่างหนัก หลังอิสราเอลตัดการเข้าถึงน้ำ ไฟฟ้า และอินเทอร์เน็ตเรียบร้อยแล้ว

• ผู้นำอิสราเอลไม่สนใจชาวโลก ประกาศเดินหน้าทำสงคราม
• ฮามาส ไม่ปิดประตูเจรจาอิสราเอล เผย "เงื่อนไขเดียว" แลกปล่อยตัวประกัน

ปฏิบัติการกดดันกลุ่มฮามาสของอิสราเอล ส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชนชาวปาเลสไตน์ผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก โดยเฉพาะเด็กๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนจากความรุนแรงมากที่สุด ภาพเด็กน้อยนอนบาดเจ็บหรือร่างไร้วิญญาณของเด็กชาวปาเลสไตน์สร้างความสะเทือนใจให้กับผู้ติดตามข่าวจากทั่วโลก และนำไปสู่ “การชุมนุมประท้วง” ที่ปะทุขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก เรียกร้องให้อิสราเอล “หยุดการสังหารหมู่” ชาวปาเลสไตน์

Sanook พาไปดูการประท้วงในหลายประเทศทั่วโลก ที่มีการเรียกร้องให้อิสราเอล “หยุดการสังหารหมู่” ชาวปาเลสไตน์

อังกฤษ

หนึ่งในการประท้วงที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งประชาชนชาวอังกฤษหลายหมื่นคนได้ออกมาเดินขบวนเพื่อเรียกร้องให้ริชี ซูแน็ก นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กดดันอิสราเอลให้หยุดยิง โดยการประท้วงที่เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (28 ต.ค.) เป็นไปอย่างสงบ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้จับกุมประชาชน 9 คน จากการก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่การชุมนุม โดยทางการอังกฤษประมาณว่ามีประชาชนเข้าร่วมการประท้วงดังกล่าวมากถึง 50,000 - 70,000 คน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีอังกฤษเคยออกมาสนับสนุนการโจมตีของอิสราเอล โดยให้เหตุผลเรื่องสิทธิการปกป้องตัวเอง หลังจากกลุ่มฮามาสบุกเข้าโจมตีประชาชนอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา และทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,400 ราย 

Getty Images

สหรัฐอเมริกา

ประชาชนผู้สนับสนุนปาเลสไตน์หลายพันคนในสหรัฐอเมริกา ออกมาชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องให้อิสราเอลหยุดการโจมตีประชาชนในพื้นที่กาซา โดยการชุมนุมเกิดขึ้นในเมืองใหญ่ๆ หลายเมืองทั่วสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกรุงนิวยอร์ก ที่กลุ่มผู้ประท้วงหลายพันคนรวมตัวกันที่สถานีรถไฟแกรนด์ เซ็นทรัล และปิดสถานีรถไฟแห่งนี้เพื่อจัดการประท้วง การประท้วงในครั้งนี้ มีผู้ประท้วงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวอย่างน้อย 200 คน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มหนุ่มสาวที่สวมเสื้อสีดำออกมาแสดงจุดยืนต่อต้านการใช้ความรุนแรงของอิสราเอล ที่ทำให้ชาวปาเลสไตน์ในกาซาเสียชีวิตแล้วมากกว่า 7,300 คน และในจำนวนนี้มากกว่าร้อยละ 60 เป็นผู้หญิงและเด็ก

อินโดนีเซีย

อินโดนีเซียซึ่งมีประชาชนชาวมุสลิมมากที่สุดในโลก ได้มีประชาชนกลุ่มผู้สนับสนุนปาเลสไตน์ากกว่า 3,000 คน ออกมาร่วมเดินขบวนเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการโจมตีกาซา และยุติการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส โดยผู้ชุมนุมเดินขบวนไปยังสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในกรุงจาการ์ตา ขณะที่ทางการอินโดนีเซียก็ได้ระดมกำลังตำรวจประมาณ 1,000 นาย เพื่อเข้าไปรักษาความปลอดภัยในบริเวณพื้นที่รอบสถานทูต

Getty Images

นิวซีแลนด์

ประชาชนชาวนิวซีแลนด์หลายพันคนก็ได้ออกมาชุมนุมประท้วงในเวลลิงตัน เมืองหลวงของประเทศนิวซีแลนด์ โดยเดินขบวนไปที่รัฐสภา พร้อมถือป้ายสนับสนุนปาเลสไตน์และเรียกร้องให้อิสราเอลหยุดยิงขีปนาวุธเข้าในพื้นที่กาซา 

กรีซ

ณ กรุงเอเธนส์ เมืองหลวงของประเทศกรีซ ประชาชนมากกว่า 5,000 คน ออกมาเดินขบวนประท้วงเรียกร้องให้อิสราเอล “หยุดการสังหารหมู่” ชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่ฉนวนกาซา และกล่าวหาว่าอิสราเอลเป็น “รัฐฆาตกร” (murderoud state) พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลลงมติให้มีการหยุดยิงในกาซาอย่างเร่งด่วน

Getty Images

ปากีสถาน

ผู้ชุมนุมหลายพันคนในปากีสถานออกมารวมตัวกัน ประณามสหรัฐฯ ในฐานะผู้สนับสนุนอิสราเอล ที่ปฏิบัติการโจมตีพื้นที่กาซาอย่างต่อเนื่องและรุนแรง ส่งผลให้ชาวปาเลสไตน์ต้องเสียชีวิตหลายพันคน โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้ประกาศจะเดินขบวนไปที่สถานทูตสหรัฐฯ ซึ่งได้รับการดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างสูงสุด อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้กำหนดให้ผู้ชุมนุมจัดการประท้วงในพื้นที่ที่จัดไว้เท่านั้น ขณะที่สถานทูตสหรัฐฯ ได้ออกประกาศเตือนพลเมืองสหรัฐฯ ในปากีสถาน โดยแนะนำให้หลีกเลี่ยงการพบปะกันในพื้นที่สาธารณะ

ไทย

กลุ่มผู้สนับสนุนชาวปาเลสไตน์ในประเทศหลายร้อยคน ก็ได้ออกมารวมตัวกันที่หน้าสถานทูตอิสราเอล ประจำประเทศไทย ประณามอิสราเอลที่โจมตีฉนวนกาซา และประณามสหรัฐฯ ที่ให้การสนับสนุนอิสราเอล โดยมีการถือป้ายและส่งเสียงตะโกนสาปแช่งอิสราเอลและสหรัฐฯ พร้อมเรียกร้องให้ปลดปล่อยปาเลสไตน์ ซึ่งถูกกดขี่มาเป็นเวลานานกว่า 75 ปี

Getty Images