หยุด!!! ศึกความขัดแย้งในสังคมไทย
โดย วลีปราชญ์
สถานการณ์บ้านเมืองนับจากนี้คงเร้าใจขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเหล่ากองทัพของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินหน้าเคลื่อนพลเต็มกำลังบุกกรุง ในวันที่ 12 มีนาคม 2553 เป็นต้นไป เพื่อโค่นล้ม กลุ่มอำมาตย์ องคมนตรี รัฐบาล จนทำให้ความร้อนระอุ ผนวกกับความหวาดหวั่นวิตกกังวล แผ่ขยายไปทั่วทุกสารทิศ
คณะรัฐมนตรี หรือครม.น้อย นำโดย "นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ " ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงในราชอาณาจักร และกฎหมายอีก 18 ฉบับ ในกรุงเทพฯ และนนทบุรีทุกอำเภอ รวมไปถึงปริมณฑลอีก 6 จังหวัด คือ ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา นครปฐม และอยุธยา ระหว่างวันที่ 11-23 มีนาคม เพื่อตั้งรับศึกความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้น
ทว่าก่อนหน้าที่กลุ่มเสื้อแดงจะกรีธาทัพบุกกรุง ในวันศุกร์ที่ 12 มีนาคมนี้ เหล่าผู้ท่องเน็ตส่วนหนึ่งต่างได้รับการฟอร์เวิร์ดเมลล์ต่อ ๆ กัน ถึงสถานที่อันเป็นจุดนัดพบเสื้อแดงตามภูมิภาคเข้ามาร่วมสมทบ ซึ่งเนื้อ และประเด็นหลัก ๆ บ่งบอกถึงความเคลื่อนไหวตามพื้นที่ ภายใต้ชื่อ "12 มีนา 12 นาฬิกา ฤกษ์เคลื่อนพลแดงทั้งแผ่นดิน" จุดยุทธศาสตร์ ได้แก่
1.บริเวณวงเวียนอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือวงเวียนใหญ่ เขตธนบุรี เคลื่อนขบวนแห่ตามเส้นทางหลักบริเวณใกล้เคียง
2.บริเวณอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ หรือ "อนุสาวรีย์ปราบกบฏ" บริเวณเหนืออุโมงค์ทางลอดแยกบางเขน เขตบางเขน เคลื่อนขบวนแห่ตามถนนวิภาวดีเข้าสู่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
3.บริเวณหน้า สน.ทุ่งสองห้องถนนกำแพงเพชร 7 เขตหลักสี่ เคลื่อนขบวนแห่จากถนนวิภาวดี มุ่งหน้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
4.บริเวณอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
5.บริเวณสี่แยกบางนา เขตบางนา เคลื่อนขบวนแห่เข้าสู่ถนนสุขุมวิท
6.บริเวณอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 สวนลุมพินี เคลื่อนขบวนแห่ตามถนนสีลม ถนนพระรามสี่
7.บริเวณสถานีวิทยุ คลอง 4 ลำลูกกา-ธัญญะ เคลื่อนขบวนแห่พื้นที่โดยรอบจังหวัดปทุมธานี
8. บริเวณสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น (ดินแดง) ประตู 2 ถนนมิตรไมตรี เขตดินแดง เคลื่อนขบวนแห่มุ่งตรงอนุสาวรีย์ชัยประชาธิปไตย
8. จังหวัดสมุทรปรากาาร บริเวณหน้าศาลาว่าการจังหวัดสมุทรปราการ เคลื่อนขบวนไปทางสะพานวงแหวนอุตสาหกรรม และสะพานวงแหวนกาญจนาภิเษก
10. จังหวัดนนทบุรี บริเวณหน้าศาลาว่าการจังหวัดนนทบุรี เคลื่อนไปบริเวณหน้าหมู่บ้านพระปิ่น 3
จากยุทธศาสตร์เคลื่อนพลกลุ่มเสื้อแดงข้างต้น ดูแล้วเสมือนว่านี่คือ "แผนเดินทัพปิดล้อมเมืองกรุง" เพราะทุกจุดล้วนเป็นช่องทางการคมนาคมออกจากเมืองหลวงทั้งสิ้น
ล่าสุด ทุกกลุ่มในสังคมไม่ว่าจะเป็นองค์กรของภาครัฐ เอกชน สื่อมวลชน กลุ่มเยาวชนศึกษาสันติวิธี จึงออกมารณรงค์เรียกร้องให้ทั้งฝ่ายรัฐบาล และกลุ่มคนเสื้อแดง งดใช้ความรุนแรง ยึดหลักสันติวิธี พยายามชี้ให้เห็นเหตุนองเลือดที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่ออดีตเป็นบทเรียน อาทิ เหตุการณ์เมษาทมิฬความขัดแย้งทางการเมืองที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ในช่วง 4- 5ปีที่ผ่านมา เพราะ นั่นไม่ใช่เกิดจากความแตกแยกทางความคิดของคนในสังคมเพียงอย่างเดียว แต่นั่นคือความระส่ำระส่ายที่ส่งผลกระทบตั้งแต่ระดับรากหญ้า ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ จวบจนถึงการจับตามองของนานาประเทศ
ภายใต้แถลงการณ์ เรียกร้องรัฐบาล-เสื้อแดง ยึดหลัก 4 ข้อ เบื้องต้นได้แก่
1. รัฐบาล และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง จะต้องยึดมั่นการปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมในทุกสถานการณ์ภายใต้หลักการสิทธิมนุษยชนสากลอย่างเคร่งครัด ทั้งหลักปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน กติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หลักการพื้นฐานในการใช้กำลังและอาวุธปืนโดยเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย ประมวลหลักการประพฤติปฏิบัติสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย หรือหลักการ อนุสัญญาสากลอื่นๆที่เทียบเคียงวิธีปฏิบัติได้ รวมถึงการปฏิบัติตามลำดับหลักการในแผนปฏิบัติการเช่นแผนกรกฎ48 จะต้องเคร่งครัดในวิธีปฏิบัติตามขั้นตอนความรุนแรง และไม่มีการยั่วยุ หรือใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมเกินความจำเป็น หรือโดยไม่มีการแจ้งให้ทราบ หรือโดยไม่มีการเจรจาก่อน พร้อมทั้งต้องหนักแน่นในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดในกรณีที่จำเป็น เพื่อรักษาความมั่นคง ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพลเมืองในประเทศโดยส่วนรวม
2. ผู้ชุมนุมจะต้องมีความรับผิดชอบในการจัดการชุมนุมอย่างเคร่งครัดโดยยึดมั่น ในหลักการสันติวิธี ใช้สิทธิตามหลักการสากล พร้อมทั้งตระหนักถึงการมีความรับผิดชอบ เช่น จะต้องมีการตรวจค้น ยึดอาวุธของ ผู้ชุมนุม ไม่อนุญาตให้มีการพกอาวุธในการชุมนุม ควรควบคุมฝูงชนให้ตั้งมั่นอยู่ในที่ชุมนุมใหญ่ และเมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นในพื้นที่ใด แกนนำควรประกาศนำผู้ชุมนุมถอยออกจากพื้นที่นั้นทันที รวมทั้งไม่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มใดที่กระทำการนอกเหนือจากมติของแกน นำ เพื่อป้องกันการถูกสร้างสถานการณ์ และเป็นการแสดงความจริงใจว่าเหตุการณ์รุนแรงไม่ได้เกิดจากฝ่ายผู้ชุมนุม
3. ขอให้ปวงชนชาวไทยทุกคนในเขตพื้นที่ต่างๆอยู่ในความสงบ ติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างใกล้ชิด และหลีกเลี่ยงการปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งทางกายและวาจา อันเป็นเหตุให้เกิดความรุนแรง ประชาชนทุกท่านมีสิทธิที่จะแสดงเจตจำนงในการปกป้องชุมชนหรือแสดงความปรารถนา ที่จะเห็นความสงบสุขในบ้านเมืองของตนได้โดยสันติวิธี พยายามหลีกเลี่ยงการรวมกลุ่ม หรือเคลื่อนไหวใดๆที่ล่อแหลมต่อการไปสู่การเผชิญหน้าและความรุนแรงโดยไม่จำเป็น
4. ขอให้ปวงชนชาวไทยทุกท่านให้ความร่วมมือในการทำหน้าที่นักข่าวพลเมือง ร่วมกันเป็นหูเป็นตา สอดส่องดูแลความสงบสุขเรียบร้อยในบ้านเมือง แสดงเจตจำนงความปรารถนาสันติสุขในบ้านเมืองด้วยวิธีการต่างๆเช่น ส่ง SMS เข้าไปในรายการโทรทัศน์ โทรศัพท์แสดงความคิดเห็นในรายการโทรทัศน์ วิทยุเท่าที่ทำได้ ด้วยความเห็นในเชิงสันติวิธี และเมื่อพบเห็นสิ่งใดผิดปกติ หรือเหตุการณ์รุนแรง โปรดให้ความร่วมมือในการแจ้งเบาะแสแก่เจ้าหน้าที่รัฐผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โทร.1555 เป็นต้น
หากสถานการณ์เคลื่อนพลของกลุ่มคนเสื้อแดงในคราวนี้ ไม่เกิดเหตุอันใดที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนตาดำ ๆ แต่กลับมีกลุ่มคนฉวยโอกาส ทำให้เหตุการณ์เกิดบานปลายมาขึ้นกว่าเดิม งานนี้เจ้าหน้าที่บ้านเมือง คงต้อง "รับศึกหนัก" และตระเตรียมแผนการณ์ที่ซ้อมมาอย่างดี ไม่ว่านี่จะเป็น "สงครามครั้งสุดท้าย" อย่างที่แกนนำคนเสื้อแดงประกาศไว้หรือไม่ คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าจะควบคุมสถานการณ์ให้เป็นไปในรูปแบบไหน
แม้ขณะนี้ ยังไม่มีใครรู้ชะตากรรมของประเทศไทยว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่เพื่อให้บ้านเมืองกลับคืนสู่ภาวะปกติ
ความสงบสุขคืนสู่แผ่นดินไทย สิ่งสำคัญของเหล่าประชาชนทุกคนที่รักชาติบ้านเมือง คือ การมีสติตั้งอยู่ในความสงบ ให้ความร่วมมือเป็นหูเป็นตา และเรียกร้อง พร้อมร่วมกันรณรงค์ ไม่ให้ รัฐบาล -กลุ่มคนเสื้อแดงใช้ความรุนแรง แต่ขอให้ยึดหลักสันติวิธี ใช้จิตวิญญาณแห่งสันติ ในการแก้ปัญหา เพราะไม่ว่าฝ่ายไหน ก็คงไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอย่างที่แล้วมา
"ความแตกแยกทางความคิด ความขัดแย้งในจุดยืนเกิดขึ้นได้
แต่นั่นไม่ได้ชี้วัดว่า
จิตวิญญาณแห่งสันติของความเป็นเพื่อนมนุษย์ร่วมแผ่นดินผืนเดียวต้องแตกแยกตาม"
ล้อมกรอบ
จากบริเวณ สถานที่ดังกล่าว ยกเลิกเหลือเพียง 5 จุดที่ควรหลีกเลี่ยงเส้นทาง ได้แก่
1. บริเวณอนุเสาวรีย์ปราบกบฏ วงเวียนหลักสี่
2.บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง
3.บริเวณวงเวียนใหญ่
4.บริเวณสวนลุมพินี
5.บริเวณแยกบางนา